บทความก่อนหน้า:
บุกโตเกียวเจาะลึกจุดเด่นของ Xperia XZ3: หน้าจอ OLED 2K HDR รุ่นแรกจาก Sony
บุกโตเกียวเจาะลึกจุดเด่นของ Xperia XZ3: UI ที่เรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของคุณ

    ePrice เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีชื่อดังของไต้หวันได้ถูกเชิญให้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของ Sony ในกรุงโตเกียวเพื่อไปฟังการบรรยายจาก Sony ว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของพวกเขามีดีอย่างไรบ้าง โดยในบทความตอนนี้เราจะพาไปเจาะลึกในเรื่องของดีไซน์ที่มีการปรับปรุงให้ดูดีขึ้นจากเดิมหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขอบโค้ง หรือตัวเครื่องที่บางลงอย่างชัดเจน ซึ่งหากมองแต่ภายนอกก็คงไม่อาจทราบถึงรายละเอียดบางอย่างในการออกแบบของ Xperia XZ3 ดังนั้น เราจะพาไปดูกันว่ามันมีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร !

บางลงได้ เพราะ OLED (อีกแล้ว)

    Xperia XZ3 ใช้ประโยชน์จากความสามารถในการโค้งงอของแผงหน้าจอ OLED ในการออกแบบหน้าจอที่ใช้กระจกโค้งแบบ 3D โดยด้านหน้า-หลังของตัวเครื่องยังคงใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5 เหมือนเช่นเคย ซึ่งเป็นกระจกแบบโค้งทั้ง 2 ด้าน ส่วนด้านข้างนั้นเป็นเฟรมอะลูมิเนียมที่บางเพียง 3 มม. ด้วยสาเหตุเหล่านี้จึงทำให้ตัวเครื่องดูแล้วบางลงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

▲ การเปลี่ยนมาใช้หน้าจอ OLED ทำให้หน้าจอสามารถโค้งจนเกือบถึงขอบข้างได้เลย

​▲ ขอบอะลูมิเนียมหนาเพียง 3 มม. แต่ก็ยังแข็งแรง

​▲ เคล็ดลับของการทำให้เครื่องบางลงนั้นมาจากความบางของหน้าจอ OLED นั่นเอง เพราะว่าไม่จำเป็นต้องมีชั้น backlight และสามารถโค้งงอได้ ดังนั้น Xperia XZ3 จึงสามารถลดความหนาของตัวเครื่องเหลือเพียง 9.9 มม. จาก Xperia XZ2 ที่หนาถึง 11.1 มม.

​▲ ในขณะเดียวกัน Xperia XZ3 ยังได้เปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียมอัลลอยเกรด AL7000 ในการออกแบบ ถึงแม้มันจะบางลงกว่าเฟรมอะลูมิเนียมของ Xperia XZ2 แต่ความแข็งแรงของมันสูงขึ้นประมาณ 40% เลยทีเดียว ซึ่งทาง Sony อ้างว่าอะลูมิเนียมที่พวกเขาเลือกใช้ยังแข็งแรงกว่า AL7000 ที่แบรนด์คู่แข่งใช้อีกด้วย นอกจากนี้การสะท้อนแสงของมันยังสวยงามขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

​▲ Xperia XZ3 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Black, White Silver, Forest Green และ Bordeaux Red โดยแรงบันดาลใจในการออกแบบทั้ง 4 สีก็ยังคงมาจากธรรมชาติเหมือนเช่นเคย โดยลงสีนั้นเกิดจากการเคลือบสีและสารเคมีหลายชั้น ทั้งเพื่อให้สีดูอิ่มและสะท้อนแสงออกมาได้งดงาม ซึ่งชั้นสีของตัวเครื่องมีความบางกว่า  40 μm

​▲ นี่คือตัวอย่างฝาหลังที่ใช้แสดงให้เห็นผลลัพธ์ของการเคลือบในแต่ละชั้น

▲ และนี่คือหน้าตาวัสดุอะลูมิเนียม AL7000 ที่นำมาใช้ทำเฟรมเครื่อง จะเห็นได้ว่าสีดั้งเดิมของมันเป็นดำ โดยจะต้องนำบล็อกอะลูมิเนียมที่มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องไปเจาะให้ได้ออกมาเป็นรูปร่างที่ต้องการเพื่อให้ได้เฟรมที่เป็นชิ้นเดียวกันทั้งอัน

▲ ด้านซ้ายเป็นหน้าตาเฟรมเครื่องของ Xperia XZ3 ส่วนด้านขวาเป็นของ Xperia XZ2 เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างที่ชัดเจนของทั้งคู่ ชิ้นส่วนภายในแทบทุกชิ้นของ Xperia XZ3 จะติดตั้งลงบนแผ่นเฟรมนี้ ทำให้มันยังมีส่วนช่วยในการระบายความร้อนไปที่ขอบข้างอีกด้วย ถึงแม้เฟรมจะมีแผ่นตรงกลางเพิ่มเข้ามา แต่ตัวเครื่องก็สามารถทำให้บางกว่า Xperia XZ2 ได้

▲ สำหรับด้านหลังของตัวเครื่อง หลายๆคนคงจะสงสัยว่าทำไมบริเวณด้านล่างถึงมีติ่งโผล่ขึ้นมา ทางวิศวกรระบุว่า เนื่องจากตัวเครื่องและขอบข้างบางลงกว่าเดิม ดังนั้นจึงต้องดีไซน์เช่นนี้เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับรูพอร์ต USB

▲ เมื่อลองยกขึ้นมาดูก็จะเห็นว่ารูพอร์ต USB Type-C แทบจะหนาเท่ากับเฟรมเครื่องแล้ว ดังนั้นจึงต้องออกแบบเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันหักได้

    เพื่อนๆคงจะทราบกันแล้วว่า การที่ Xperia XZ3 สามารถออกแบบให้บางกว่า Xperia XZ2 ได้ เป็นผลมาจากการที่เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ OLED ที่บางกว่าด้วยการที่มันไม่ต้องมีชั้น backlight ประกอบกับการเปลี่ยนมาใช้วัสดุอะลูมิเนียม AL7000 Series ที่มีความแข็งแรงมากขึ้นจึงสามารถทำเฟรมที่บางลงได้ จะเห็นได้ว่าในด้านการออกแบบนั้น ถือว่ามีการปรับปรุงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่ minor change

    สำหรับบทความตอนที่ 3 เรื่องการดีไซน์ก็จบลงไปแล้ว ตอนต่อไปเราจะพาเพื่อนๆไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังการทำงานของกล้อง Motion Eye ที่ปรับปรุงใหม่ของ Xperia XZ3 กัน !

ที่มา: ePrice

บทความตอนถัดไป:
บุกโตเกียวเจาะลึกจุดเด่นของ Xperia XZ3: ถึงกล้องเดี่ยว ก็เฟี้ยวไม่แพ้คู่

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่