หลังจากที่ยอมปรับมาใช้กล้องคู่ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต AUBE สามารถถ่ายกลางคืนได้อย่างเจ๋งใน Xperia XZ2 Premium ทำให้เราต่างคาดหวังถึงตัวต่อไปอย่าง Xperia XZ3 ว่าจะมาในแนวไหน ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาในงานเปิดตัวได้ดีทีเดียวเพราะว่ามันมาพร้อมกับ กล้องเดี่ยว!!!

เดี๋ยวนะโซนี่ นายจะถอยมาไม่ได้นะ แต่หลังจากที่เราได้ทำการใช้งานมาซักพักนึงแล้วพบว่าถึงแม้จะเป็นกล้องเดี่ยวก็เสียว เอ้ย สวยได้ เพราะว่ามาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่ได้รับการอัพเกรดขึ้น และยังปรับเปลี่ยนรูปทรงให้โค้งน้อยลง จับสะดวกขึ้นกว่าเดิมอีก

Xperia XZ3 นั้นยังเปลี่ยนมาใช้หน้าจอเป็น OLED แบบ HDR ตัวแรกของค่ายอีกด้วย มาในรูปแบบจอโค้งตามสมัยนิยม (แต่ยังไม่มีติ่งนะ) ให้สีสันที่สวยงาม ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรเพิ่มเข้ามาบ้าง ไปชมในรีวิวกันเลย

ตัวเครื่องที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้เป็นสี “Bordeaux Red” ที่จะออกโทนแดงชมพูสวยมากกก ตัวกล่องแพ็กเกจจะมาในรูปทรงพอดีโทรศัพท์และกล่องสีเทาเช่นเดิม

อันนี้ทางเราบินไปซื้อมาจาก Hong Kong ทำให้อะแดปเตอร์ชาร์จไฟจะเป็นคนละแบบกับบ้านเรา นอกจากนั้นอุปกรณ์ภายในกล่องก็จะประกอบไปด้วยหูฟัง สายชาร์จแบบ Type-A to Type-C และจุกยางสำหรับเปลี่ยนขนาดจุกของหูฟังแถมมาให้

ดีไซน์ของตัว Xperia XZ3 จะคงคอนเซ็ป Ambient Flow เหมือนเดิมแต่จะปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ให้หลังเต่ามีความโค้งน้อยลงและจอด้านหน้าจะโค้งเข้ารับกับฝาหลังทำให้เวลาจับถือใช้งานนั้น ไม่รู้สึกบาดมือ มันจะมนเข้ารับอุ้งมือเราพอดี เรียกได้ว่าถ้าได้ลองจับจริง รู้สึกดีกับมันแน่นอนครับ

ด้านหน้าจะมาพร้อมกับหน้าจอ OLED HDR ขนาดเพิ่มขึ้นเป็น 6 นิ้ว ความละเอียดอัพเป็น QHD+ (1440 x 2880 pixels) แต่ขนาดตัวเครื่องยังพอ ๆ กับ Xperia XZ2 การออกแบบจอให้โค้งเข้าหาขอบเครื่องนั้นยังทำให้มันดูเหมือนกับไร้ขอบด้านข้าง และขอบด้านบนและล่างก็มีพื้นที่บางลงกว่าเดิมอีกด้วย

หน้าบนด้านซ้ายสุดจะเป็นไฟ LED Notification ไว้แสดงการแจ้งเตือนต่าง ๆ ถัดมาเป็นลำโพงสนทนา, เซ็นเซอร์ Proximity และกล้องหน้าความละเอียด 13MP จะสังเกตได้ว่าขอบจอนั้นจะถูกทำให้โค้งมนไม่เป็นเหลี่ยม สวยไปอีกแบบ

ด้านล่างจะมีเพียงโลโก้ SONY เท่านั้น ส่วนแถบดำยาว ๆ ใต้โลโก้นั้นจะเป็นลำโพงตัวที่สองสำหรับใช้งานเป็นลำโพงคู่ด้านหน้าให้เสียงดังชัดด้วยระบบ  S-Force Front Surround

ด้านหลังยังเป็นดีไซน์หลังเต่าที่มีความโค้งมน แต่ถูกปรับให้เรียบไม่โค้งเหมือนตอน Xperia XZ2 แล้ว ทำให้การจับมีความถนัดมากขึ้น แต่เวลาวางบนที่เรียบผิวลื่นยังมีอาการมือถือไหลเองอยู่นะต้องระวังดี ๆ หรือถ้าเราใส่เคสก็จะช่วยกันปัญหานี้ไปได้

ด้านข้างของตัวเครื่องจะบางลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ปุ่มกดต่าง ๆ มีขนาดบางลงตามไปด้วย แต่ยังมีปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง เปิด/ปิดเครื่อง และปุ่มกล้องให้ใช้งานเช่นเคย

ความบางในรุ่นนี้จะบางเพียง 9.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบาย ไม่ต้องกลัวว่ามือถือจะตุงออกมา

ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีติ่งอยู่ตรงช่อง USB-Type C เพราะขนาดของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นมีขนาดเกือบเท่ากับความหนาของโครงเครื่องทำให้ต้องทำให้มีส่วนติ่งนี้ขึ้นมาเพื่อเสริมความแข็งแรงในส่วนนั้น ส่วนรูกลม ๆ ด้านล่างนั้นคือไมค์สนทนา

ด้านบนจะมีแค่ถาดซิมกับไมค์ตัดเสียงรบกวนระหว่างสนทนาหรือไว้สำหรับอัดเสียงคู่กับไมค์ด้านล่างเพื่อให้เสียงที่ได้นั้นมีมิติขึ้น

ถาดซิมสามารถใช้เล็บแงะถอดได้ง่ายเหมือนเดิม แต่เวลาใส่แน่นหนานะเพราะมียางกันน้ำที่หนาเป็นพิเศษ ไม่ต้องกลัวหลุดหรือน้ำเข้าได้ง่าย ๆ ถาดซิมจะเป็นแบบ Hybrid SIM เช่นเดิมคือแบบเป็น 2 ช่อง ช่องแรกจะไว้ใส่ SIM1 ส่วนอีกช่องจะเลือกใส่เป็น SIM2 หรือ Micro SD Card ก็ได้

ด้วยความที่เครื่องเป็นกระจกคงจะหลีกเลี่ยงลายนิ้วมือไปไม่ได้ แต่สามารถทำความสะดวกได้ง่าย เอาเช็ค ๆ เสื้อก็ไม่ทิ้งคราบแต่ถ้าไม่อยากให้มีแนะนำติดฟิล์มด้านหรือใส่เคสจะดีกว่า

หลังจากที่โดนกระแสไม่ค่อยดีนักหลังจากฉีกแนวเปลี่ยนดีไซน์ไปเป็นหลังเต่า จะเปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเหลี่ยมแบบก่อนก็คงจะไม่ได้ (ออกตัวแรง Ambient flow ไปหน่อย) ก็เลยตามใจแฟน ๆ ลดความเต่าให้น้อยลง ซึ่งจากที่ลองใช้งานมารู้สึกว่าถือจับได้กระชับมือขึ้นเยอะ อาจเป็นเพราะหน้าจอที่โค้งรับกับฝาหลังได้พอดีทำให้จับแล้วสบายมือ

รวมถึงการเปลี่ยนดีไซน์ด้านในใหม่มาใช้โครงสร้างภายในเป็นอลูมิเนียมซีรี่ย์ 7000 ที่แกนกลางตัวเครื่อง ไม่ใช่แค่ขอบโครงแบบสมัยก่อน และใช้กระจกหน้าหลัง Corning® Gorilla® Glass 5 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน ลองจับบิด ๆ ดูรู้สึกถึงความแน่นของงานประกอบ ไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งทับเครื่องงออีกต่อไป

มาดูเรื่องสเปคกันบ้าง สเปคโดยรวมอาจจะยังไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่าง Xperia XZ2 หรือ XZ2 Premium เท่าไร แต่ก็มีหลาย ๆ ส่วนได้รับการอัพเกรดเพิ่มเติม ยังไม่มีวี่แววของ Snapdragon 855 โผล่ออกมา โดย Xperia XZ3 มีสเปคดังนี้

  • ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 845 มาพร้อมกับชิปประมวลผลกราฟฟิค Ardeno 630 สามารถรองรับเกมที่มีกราฟฟิคสูงตอนนี้ได้สบายๆ
  • RAM 4GB (เครื่อง ฮ่องกง, ไต้หวัน และจีนจะมีขนาด 6GB) มีหน่วยความจำภายใน 64GB เป็นแบบ UFS ความเร็วสูง และยังใส่หน่วยความจำเพิ่มเติมได้สูงสุดถึง 512GB (microSDXC)
  • มาพร้อมกับ Android 9 Pie
  • หน้าจอเป็นแบบ OLED ขนาด 6 นิ้ว (สเกลภาพ 18:9) ความละเอียด QHD+ (2880 x 1440 pixel) แสดงผลแบบ HDR
  • กล้องหลังความละเอียด 19MP Motion Eye เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3” Exmor RS เป็นเลนส์แบบไวด์กว้าง 25mm ความไวแสง F2.0
  • กล้องหน้าความละเอียด 13MP เซ็นเซอร์ขนาด 1/3.06” Exmor RS เป็นเลนส์ไวด์เช่นกัน กว้าง 23mm

  • การเชื่อมต่อรองรับ Bluetooth 5.0, Wifi Miracast, etc
  • รองรับเทคโนโลยี LTE (4G) Cat18 with up to 1,2Gbps download speed
  • แบตเตอรี่ขนาด 3330 mAh รองรับเทคโนโลยีประหยัดแบบ STAMINA Mode และยืดอายุแบตด้วย Battery Care
  • มาตรฐานการกันน้ำที่ IP65/68
  • ขนาดกว้าง 73 ยาว 158 และหนา 9.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 193 กรัม
  • มีจำหน่ายด้วยกัน 4 สีคือ Black(ดำ), White Silver(ขาว-เงิน), Forest Green(เขียวแบบป่าดิบชื้น) และสีที่เรามารีวิวต่อนี้คือ Bordeaux Red(สีแดงเหมือนไวน์ Bordeaux)

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับจอโค้งของ Xperia XZ3 ก็คือ Side Sense ที่พอเราแตะ ๆ สองครั้งที่ขอบเครื่องก็จะมีแอปที่เราใช้งานบ่อย ๆ ออกมาให้เลือกใช้ จากการลองใช้งานใช้เวลาเปลี่ยนแอปสลับไปมาได้สะดวกขึ้นมากครับ ไม่ต้องกดปุ่ม Home ออกมาเลือกแอปที่ด้านหน้าสามารถกดสลับแอปได้เลย

และ Side sense ยังสามารถใช้งานในโหมดกล้องได้ด้วยนะ โดยเราสามารถแตะที่ขอบจอเพื่อใช้งานเป็นปุ่มชัตเตอร์ได้ด้วย

สามารถตั้งค่าความไวของการตรวจจับการแตะของเราได้ ไม่ต้องกลัวว่าเล่นอยู่แล้วมือไปโดนเด้งออกมา ตั้งค่าใช้มันสัมผัสช้าขึ้นได้ และยังสามารถเลือกตั้งค่าฝั่งที่จะให้แตะได้อีกด้วย ถ้าเราใช้แค่ฝั่งขวาอย่างเดียวก็สามารถปิดฝั่งซ้ายทิ้งไปเลยก็ได้กันมือไปโดน

นอกจากนั้นยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้แอปใดมาโชว์บน Side sense บ้าง ตัวไหนเราไม่ได้ใช้ก็ปิดไป หรือจะให้ระบบเลือกแอปที่เราน่าจะใช้งานมาให้ผ่าน Xperia Intelligence engine ก็ได้นะ

จอขอบโค้งตรงมุมจอถูกทำให้โค้งมนด้วย ดูสวยงามไปอีกแบบ

ในที่สุดโซนี่ก็หันมาใช้หน้าจอ OLED HDR Panel เพราะให้สีสันที่สวย และแสดงเฉดสีดำได้ดำสนิทกว่าจอ LCD มาพร้อมกับเทคโนโลยี Triluminos Disply ที่สามารถแสดงเฉดสีได้มากกว่าเดิม และปรับแต่งโทนสีของภาพให้สมจริงสวยงาม X-Reality for mobile ที่จะประมวลผลภาพให้คมชัด สมจริงมากยิ่งขึ้น สามารถทำการอัพไฟล์ภาพหรือวีดีโอแบบธรรมดาให้แสดงผลได้ใกล้เคียง HDR ได้ และฟีเจอร์ Dynamic Contrast Enhancer ที่จะทำให้ภาพที่ได้มีแยกส่วนมืดและส่วนสว่างได้ดีกว่าเดิม เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานด้วยกัน ภาพที่ได้สวยสุดยอดเลยล่ะครับ

ลองเปรียบเทียบหน้าจอระหว่าง Xperia XZ3 กับ Xperia XZ2 ดูจะเห็นว่าจอ OLED HDR ของ XZ3 นั้นแสดงผลได้สีสันสดใสมากกว่าในบางสถานการณ์ เช่นรูปที่มีส่วนมืดกับส่วนสว่างอยู่ด้วยกันจะยิ่งเห็นได้ชัด

การใช้งานกลางแจ้งสามารถใช้งานได้สะดวกไม่มีปัญหา เพราะหน้าจอมีความสว่างมากพอที่จะเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัด และหากใครกลัวว่าหน้าจอ 6 นิ้วนั้นจะขนาดใหญ่ไปใช้งานมือเดียวไม่ถนัดสามารถเปิด One-Handed mode เพื่อทำการย่อหน้าจอไว้สำหรับใช้งานมือเดียวได้ด้วยนะ โดยการสไลด์ที่ขอบจอด้านล่างไปทางซ้ายหรือขวา

อีกฟีเจอร์คู่บุญของหน้าจอ OLED อย่าง Always on display ก็มีมาให้ใช้งานเหมือนกัน แต่จะไว้โชว์ Notification อย่างเดียวก็จะเหมือนกับแบรนด์อื่น SONY เลยเพิ่มให้เราสามารถตั้งค่าเอารูปภาพไปโชว์ หรือแสดงรายละเอียดเพลงที่เรากำลังเล่นอยู่ก็ได้

สามารถตั้งค่าว่าจะให้โหมด Always on display นั้นเปิดใช้งานเวลาไหนบ้าง จะให้ติดตลอดเวลาไหม หรือจะให้ระบบคิดว่าเวลาไหนควรติดขึ้นมาให้เราดู หรือเลือกให้ติดเฉพาะตอนเรายกเครื่องขึ้นมาดูก็ได้

และโหมด Smart activation นั้นจะเป็นการเปิดหน้าจอตามที่เราต้องการ ซึ่งสามารถใช้ Double-tap เพื่อเปิดหน้าจอได้แล้ว (ดีใจ ในที่สุดก็กลับมา)​

สามารถตั้งค่าใส่รูปภาพหรือสติ๊กเกอร์เข้าไปในหน้านี้ก็ได้เช่นกัน แต่อาจต้องแลกกับการเสียแบตเตอรี่ไปเล็กน้อยนะ เพราะ Always on display จะทำงานแบบประหยัดแบตถ้าเราแสดงแค่ตัวอักษรเล็กน้อย เพราะหน้าจอส่วนที่เป็นสีดำจะไม่ทำงาน แต่ถ้าเราใส่รูปหรืออะไรที่เป็นแพตเทิร์นสีเข้าไปหน้าจอจะใช้พลังงานมากขึ้นกว่าการแสดงแค่ข้อความเฉย ๆ

ฟีเจอร์ Photo Playback ของหน้าจอ Alway on display ซึ่งจะเลือกรูปใน Gallery เรามาโชว์ในหน้านี้

ด้านเสียงยังจัดเต็มฟีเจอร์ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) รองรับ DSEE HX™ ที่จะทำให้ไฟล์เสียงธรรมดาของคุณมีคุณภาพใกล้เคียงไฟล์ Hi-res มากยิ่งขึ้น และอีกหนึ่งฟีเจอร์สุดเจ๋งสำหรับหูฟังไร้สายอย่าง LDAC ก็ยังมีเช่นเคย ทำให้สามารถส่งสัญญาณเสียงความละเอียดสูงผ่านหูฟัง Bluetooth ได้ ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น ClearAudio+, Stereo speaker with S-Force Front Surround, Stereo Recording และ Qualcomm® aptX HD audio ก็ยังมีให้ใช้เช่นเคย

การเล่นเกม Xperia XZ3 นั้นก็รองรับเกมแรง ๆ สมัยนี้ได้สบาย ด้วย SoC Snapdragon 845 กับชิปประมวลผลกราฟฟิค Ardeno 630 สามารถทำงานประมวลผลเกมได้ดีเยี่ยม เราได้ลองกับเกมที่แอดติดอย่าง PUBG พบว่าสามารถปรับสุดได้ เล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ต้องกลัวกระตุกตอนลั่นไกปืน ความร้อนของเครื่องตอนเล่นนั้นมีความรู้สึกว่าร้อนน้อยมาก อาจเป็นเพราะการออกแบบใช้เฟรมอลูมิเนียนคั่นกลางระหว่างตัวเครื่องทำให้กระจายความร้อนได้ดีกว่าเดิม หน้าจอโค้งอาจมีป้ญหากับปุ่มกดที่อยู่ขอบจอบนที่อาจจะกดยากไปหน่อย อาจต้องย้ายปุ่มให้ต่ำลงมา ส่วนเรื่องการทัชผมว่า Xperia XZ3 จอนั้นดูทัชได้สมูทกว่าตัวก่อน ๆ เวลาเลื่อนเป้ายิงรู้สึกมันตามนิ้วมากยิ่งขึ้น อาจเพราะ Resolution ที่สูงขึ้นเป็นระดับ QHD ด้วย

แบตเตอรี่จากที่ลองใช้งานมาสามารถใช้งานวันนึงได้สบาย เล่นเกม ฟังเพลง โซเชียว จากที่ลองใช้งานทั่วไปตอนเย็นแบตจะเหลือประมาณ 30% และอีกสิ่งหนึ่งที่แปลกไปคือผมไม่เห็นรายชื่อว่ามันรองรับ Quick Charge แล้ว แต่ในใบ Specification นั้นเขียนว่าซัพพอร์ตเทคโนโลยีชาร์จเร็ว USB Power Delivery (USB PD) แทน ซึ่งอาจเป็นอีกส่วนนึงที่เปลี่ยนแปลงไปใน Xperia XZ3 ถ้ามุมมองผมก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียเพราะปกติผมพกอุปกรณ์ฝั่ง iOS อย่าง iPad ติดตัวอยู่แล้ว การเปลี่ยนมารองรับเทคโนโลยีชาร์จไว PD ก็ทำให้ผมสามารถใช้อแดปเตอร์ตัวเดียวในการชาร์จอุปกรณ์ทั้งคู่ได้

    ส่วนอีกฟีเจอร์คือการชาร์จไร้สาย ได้ใช้เทคโนโลยีชาร์จตัวใหม่ตามมาตรฐานของ Qi ที่กำหนดโดย WPC (Wireless Power Consortium) โดยภายในเครื่อง Xperia XZ3 จะมีขดลวดทองแดงสำหรับรับกระแสเหนี่ยวนำจากแผ่น Wireless Charge ติดตั้งอยู่ ซึ่งการรองรับมาตรฐาน Qi นี้เป็นข้อดีอีกอย่างที่เราสามารถซื้อแท่นชาร์จของแบรนด์ไหนก็ได้ที่รองรับมาตรฐาน Qi ก็สามารถใช้ชาร์จได้เลย

นอกจากนั้นก็ยังมีฟีเจอร์ Battery Care และ Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยดูช่วงเวลาการชาร์จของเราเพื่อสามารถหยุดการชาร์จไว้ที่ 90% ก่อนจะปล่อยให้เต็ม 100% ก่อนที่เราจะใช้งานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

การกันน้ำยังทำได้ที่มาตรฐาน IP65/68 เช่นเคย สามารถใช้งานสมบุกสมบันตากฝน ล้างน้ำได้ปกติ แต่ต้องระวังเรื่องการนำลงไปใช้งานในน้ำเพราะถ้าเกิดพอร์ต SIM หลวมหรือเกิดเหตุไม่คาดคิดจริง ๆ อาจทำให้เครื่องเสียหายได้ และที่สำคัญห้ามนำลงน้ำทะเลโดยเด็ดขาด!!! เพราะว่าเกลือจะทำให้ยางกันน้ำเสียหายได้

กล้องของ Xperia XZ3 นั้นอาจสร้างความมึนงงให้กับบางคน (รวมถึงผมด้วย) ว่าทำไมใน Xperia XZ2 Premium นั้นเปลี่ยนมาใช้กล้องคู่แล้ว แถมมาพร้อมกับลูกเล่นต่าง ๆ มากมาย แต่ทำไมใน  Xperia XZ3 นั้นถึงกลับมาใช้กล้องเดี่ยว หรือว่ากล้องคู่สำหรับจะสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับรุ่น Premium กันนะ แต่ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปว่าทำไมยังให้กล้องเดี่ยวมา เพราะแอบได้ยินมาว่ากล้องเดี่ยวของ Xperia XZ3 นั้นได้รับการอัพเกรดมาอีกระดับนึงจากเดิม ว่าและก็ลองเทสกันดีกว่า

กล้องหลังยังเป็นเลนส์ตัวเดียวกับ Xperia XZ2 อยู่มีความละเอียดที่ 19MP ส่วนเซ็นเซอร์ถ่ายภาพต่าง ๆ ยังวางเรียงกันขึ้นมาจากตัวเลนส์เช่นเคย รวมถึงตำแหน่งสแกน NFC ยังอยู่ที่เดิมด้วย ซึ่งผมว่าตำแหน่งนี้ใช้ยากไปนิด เพราะเวลาจะแตะเชื่อมต่อหูฟังหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ทีต้องระวังกลัวเลนส์กล้องไปกระแทก

กล้อง Motion Eye ที่มีหน่วยความจำในเซ็นเซอร์กล้องนั้น ยังช่วยให้เราถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ต่าง ๆ ได้ทันเวลา และใน Xperia XZ3 ยังมีฟีเจอร์ “Get ready to shoot with AI in Xperia™” หรือเวลาเรายกมือถือขึ้นมาทำท่าถ่าย ก็จะเข้าสู่โหมดกล้องและถ่ายภาพให้อัตโนมัติ ไม่ต้องกลัวพลาดช็อตสำคัญ แต่ฟีเจอร์นี้อาจยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะจากการลองใช้งานหลายครั้งที่ยกมือถือมาดูเฉย ๆ กับเข้าโหมดกล้องให้ซะงั้น รวมถึงการยกถ่ายที่ต้องรอเอาอีกมือหรือเอานิ้วไปแตะที่วงกลมในจอก่อนถ่าย ทำให้ผมคิดว่าการเข้าโหมดถ่ายเร็วผ่านปุ่มกล้องเป็นอะไรที่สะดวกกว่า

เมนูในโหมด Manual นั้นจะยังจัดเรียงคล้ายเดิมคือสามารถปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ได้จากเมนูทางด้านขวาติดกับทัชชัตเตอร์ สามารถปรับ White Balanced, Speed shutter(ได้สูงสุดที่ 1/4000 และต่ำสุด 1 วินาที), ISO สูงสุดอยู่ที่ 12800 และ Focus ได้ที่แถบนี้ ส่วนแถบด้านซ้ายถูกปรับให้เป็นเมนูลัดตั้งค่าไม่ว่าจะเป็นการสลับกล้องหน้า, เปิด/ปิด HDR mode, สเกลภาพถ่าย, การตั้งเวลา และ โหมดแฟรชต่าง ๆ ได้จากแถบนี้ สะดวกกว่าเมื่อก่อนไม่ต้องกดเข้าไปตั้งใน setting อีกต่อไป

ถึงแม้จะเป็นกล้องเดี่ยวแต่ภาพถ่ายกลางคืนก็ทำได้ดีขึ้นนะ การเก็บแสงไฟ รายละเอียดของภาพทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม ถ่ายไฟไม่ค่อยฟุ้งแล้ว แต่ตัวกล้องยังพยายามใช้ Noise reduction จึงทำให้ภาพเวลาซูมดูรายละเอียดลึก ๆ แล้วยังดูเป็นวุ้นอยู่ แต่ถ้าใช้อัพลง Facebook, Instagram ที่ไม่ได้ซูมดูรายละเอียดลึก ๆ ของภาพแล้วถือว่าทำได้ดีครับ 

นอกจากนั้นเท่าที่สังเกตตัวกล้องยังใช้งานร่วมกับแอปอื่น ๆ ได้ดีขึ้นด้วย ไม่ค่อยเจออาการโฟกัสช้าหรือ WB เพี้ยนเวลาเปิดกล้องด้วยแอปอื่น ๆ อีกแล้ว

ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลังทั้งหมดครับ ไฟล์จะถูกลดขนาดเหลือ 2MP เพื่อไม่ให้กระทบต่อเน็ตของเพื่อน ๆ นะ ฮ่า

กล้องหน้าได้ปรับมาใช้ความละเอียด 13MP อีกครั้ง (ทุกวันนี้ยังสงสัยไม่หายว่า SONY กลับไปใช้ความละเอียด 5MP ใน Xperia XZ2 ทำไม?) ใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS ขนาด 1/3.06 นิ้ว เป็นเลนส์แบบมุมกว้าง 23mm สะดวกเวลาถ่ายภาพเป็นกลุ่มแค่ยืดแขนก็เก็บครบไม่ต้องพึ่งไม้เซลฟี่ รองรับ ISO3200 สำหรับภาพนิ่ง และ ISO1600 สำหรับวีดีโอ และยังรองรับการกันสั่น SteadyShot with Intelligent Active Mode (กันสั่น 5 แกน)

อีกหนึ่งโหมดที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่าง Portrait mode เป็นอีกนิมิตรหมายอันดีว่า SONY เริ่มตามเทรนด์ตลาดกับเขาซักที เพราะยุคนี้หลาย ๆ คนต้องการกล้องที่เบลอหลังสวย ถ่ายฟรุ้งฟริ๊ง ซึ่งจากที่ลองใช้งานมา สามารถใช้ได้ดีไม่แพ้แบรนด์อื่นเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่มันเป็นกล้องเดี่ยวและไม่มี Dept sensor ช่วยวัดความลึกของภาพอาจทำให้บางครั้งเบลอยังไม่เนียนเท่าไร

UI กล้องหน้าปรับใหม่ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น โหมดการใช้งานที่ใช้บ่อยไม่ว่าจะเป็นเปิด/ปิดไฟให้ความสว่างด้วยหน้าจอขณะถ่าย การปรับสเกลภาพ เปิดใช้งาน Touch capture หรือแม้แต่การกลับภาพ (Mirror) ก็มีให้ใช้งานที่เมนูด้านบนครบไม่ต้องเข้าไปในตั้งค่าอีกต่อไป ด้านล่างจะเป็นตัวอย่างภาพเปรียบเทียบกล้องหน้า Portrait mode กับถ่ายแบบธรรมดา

ลองถ่าย Indoor พื้นหลังเป็นโทนสีเดียวกันจะเห็นว่าโหมด Portrait นั้นยังสามารถปรับแสงที่หน้าให้สว่างขึ้นได้โดยไม่กระทบพื้นที่อื่น ๆ การละลายฉากหลังทำได้ดี เนียน เปลี่ยนจากชายโฉดเป็นหนุ่มเกาหลีได้ ฮ่า

ส่วนการใช้งานใน Outdoor กันบ้างโดยลองเลือกให้ฉากหลังมีวัตถุแตกต่างกันเยอะ ๆ ก็ยังสามารถเบลอได้ในระดับที่ดี จะมีแค่บางส่วนที่ยังเบลอพลาดอยู่บ้าง การไล่แสงที่หน้าทำได้เนียน อมชมพูกันเลยทีเดียว

ฟีเจอร์กล้องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายสโลว์โมชั่นแบบ Full-HD 960fps, Pedictive Capture การถ่ายสูงสุด 4 ช็อตโดยอัตโนมัติเผื่อเลือก, การทำ Burst shot 100 ภาพต่อครั้ง และฟีเจอร์สแกนภาพ 3 มิติ 3D Creator ก็ยังคงมีให้ใช้งานเหมือนเดิม และอีกจุดเด่นของโซนี่อีกอย่างตอนนี้คือการถ่ายวีดีโอแบบ HDR รองรับความละเอียดสูงสุดระดับ 4K

ปกติเวลาเราถ่ายรูปหรือวีดีโอที่สถาพแสงต่างกันมาก ๆ ส่วนนึงมืดส่วนนึงสว่าง ต้องต้องเลือกเสียภาพส่วนใดส่วนนึงไป ถ้าต้องการเห็นในที่มืดก็ต้องเร่งแสงช่วยจนทำให้ส่วนสว่างหาย อยากเห็นส่วนสว่างก็ต้องลดแสงลงส่วนมืดก็หายอีก ตัวอย่างอาจจะเห็นภาพไม่ชัด แต่ถ้าดูจากหลอดนีออนจะเห็นว่าความสว่างของหลอดนั้นกลบสีสันของหลอดให้หายไปเยอะพอสมควร

คราวนี้เราลองมาเปิดโหมด HDR กันบ้างจะเห็นได้ว่าการแสงสีสันของหลอดนั้นดึมากขี้น เห็นสีต่าง ๆ ของเส้นนีออนได้ชัดเจน

Xperia XZ3 นั้นยังสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องเดี่ยวให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน และดูเหมือนการถ่ายภาพด้วยโหมด Auto จะทำได้ดีขึ้น สามารถปรับโทนสีวัตถุที่เราถ่ายให้เหมาะสม ทำให้การยกขึ้นมาถ่ายนั้นสะดวกกว่าเดิมไม่ต้องคอยมาปรับ WB หรือแสง แต่จุดที่น่าจะพัฒนาจริง ๆ คงจะเป็นกล้องหน้าที่ถ่าย Selfie ได้ดีกว่าเดิม การเบลอหลังที่แม้ว่าจะเป็นกล้องหน้าตัวเดียวก็สามารถทำได้เนียน และยังเพิ่มโหมดปรับแสง ตาโตหรือลดขนาดคงให้เรียวลงได้ น่าจะถูกใจสาว ๆ อยู่ไม่น้อย

Xperia XZ3 นั้นจะมาพร้อมกับ Android 9 Pie ตั้งแต่จากโรงงาน แต่จากที่ลองเล่นดูโดยรวม UI ยังไม่แตกต่างจากตัวก่อน ๆ ของโซนี่มากนัก ปุ่ม Navigator ด้านล่างยังเป็นรูปแบบ 3 ปุ่มเช่นเดิม (ไม่ใช่ปุ่มเดียวแบบ Pure Android) UI ต่าง ๆ ถูกอัพเกรดเล็กน้อย

UI ต่าง ๆ จะยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนักยังคงกลิ่นอายของ Xperia Launcher อยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นหน้า Home screen หรือ App drawer เมื่อเลื่อนลงมาจะเป็นหน้า Notification เมื่อเลื่อนอีกครั้งจะเป็น Quick setting เหมือนเดิม สามารถกดปุ่ม Recent app ค้างไว้เพื่อใช้งานโหมดสองหน้าจอได้ โดยรวมการใช้งานในส่วนต่าง ๆ ยังไม่ต่างจากรุ่นก่อนมากนัก

ส่วนหน้า Setting นั้นการตั้งค่าต่าง ๆ ถูกจัดหมวดหมู่ให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ถ้าไม่แน่ใจว่าควรตั้งค่าที่จุดไหน หรือเราต้องการแบบนี้จะต้องตั้งค่ายังไงก็สามารถไปที่หน้า Xperia Assist เพื่อให้ตัว Xperia สามารถช่วยคุณตั้งค่าโดยจะมีคำอธิบายในส่วนต่าง ๆ ได้ละเอียดยิ่งขึ้น

หลังจากใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่า Xperia XZ3 ที่ตอนแรกผมคิดว่าคงไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงจาก Xperia XZ2 มาก แต่พอลองใช้งานจริงนั้นมันคือ Major Change ที่ได้รับการปรับปรุงหลาย ๆ ส่วน แม้เครื่องจะดีไซน์คล้ายเดิม แต่ถูกทำให้บางมากขึ้น เฟรมของเครื่องถูกออกแบบใหม่ทำให้แข็งแรงและระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม ตัวเครื่องดีไซน์มาได้เข้ามือมากยิ่งขึ้น

หน้าจอเปลี่ยนมาใช้ OLED ตามสมัยนิยมแต่ก็ยังเพิ่มฟีเจอร์ HDR และอื่น ๆ เรียกว่าจัดเต็มจนเปรียบเหมือนกับยกทีวี Bravia มาไว้บนมือ กล้องถ่ายรูปที่แม้จะยังไม่ได้มาใช้กล้องคู่ตาม Xperia XZ2 Premium ด้วยกล้องเดี่ยวที่มีก็ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีก การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม กล้องหน้าได้รับการปรับปรุง เพิ่มโหมด Portrait ซึ่งเห็นได้ว่าโซนี่เริ่มหันมามองตลาดมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นกล้องเดี่ยวแต่การเบลอหลังและการปรับแสงก็ช่วยให้สามารถถ่ายเซลฟี่ได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม

สุดท้ายเป็นที่น่าเสียดายที่ตัวนี้นั้นไม่ได้ถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย คงต้องรอกันอีกทีปี 2020 ที่แว่ว ๆ มาว่าจะเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ Sony Mobile ที่จะกลับมาทำกำไรอีกครั้ง ด้วยการจัดเต็มทุกฟีเจอร์จากโซนี่อัดลงไปและทีมพัฒนากล้องจาก Alpha ซึ่งน่าจะทำให้เราได้เห็นอารยธรรมของเรากลับมาผงาดได้อีกครั้ง

สำหรับใครที่เป็นเจ้าของ Xperia XZ3 แล้ว แกไม่ต้องกลัวว่าไม่นำเข้าไทยแล้วจะหาเคส ฟิล์ม หรืออุปกรณ์เสริมไม่ได้นะครับ สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shop SE-UPDATE ได้เลย

 

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่