หลังจากที่โซนี่ได้ทำการเปิดตัว SmartBand ตัวแรกเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็น Actitivity tracker ตัวแรก ก่อนจะปล่อย SmartBand Talk ออกมาโดยเพิ่มเติมหน้าจอ E-Ink เข้ามาสำหรับดูแจ้งเตือนและเวลาได้ แต่ก็ยังขาดอยู่สิ่งหนึ่งที่สาย Healthy ต้องการนั่นคือเซนเซอร์วัดชีพจร (heart rate sensor) ซึ่งใน SmartBand 2 นั้นก็ได้ทำการใส่มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รองรับการใช้งานร่วมกับ Android 4.4 และ iOS 8.2 เป็นต้นไป (แอพพลิเคชั่นสำหรับ iOS ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุง เนื่องจากบัคทำให้การเชื่อมต่อกับ SmartBand2 หลุดบ่อย รออัพเดทแก้ไข) เอาล่ะเราไปดูกันดีกว่าว่ามันมีอะไรแตกต่างจากตัวแรกกันบ้าง (ดูคลิป SmartBand2)
แกะกล่องมาก็จะพบกับตัว SmartBand และสายรัดตัวใหม่ และสาย MicroUSB ขนาดสั้นสำหรับชาร์จไฟ คู่มือ (ไม่มีสายเล็กแถมอีกเส้นแบบ SmartBand เพราะสายของ SmartBand 2 สามารถปรับความกว้างได้หลายขนาด)
ตัว “The Core” SmartBand 2 จะยังคงรูปทรงคล้ายกับตัวแรก โดยมีปุ่มให้ 1 ปุ่มและไฟ LED สำหรับแจ้งเตือนสถานะการณ์ต่างๆอีก 3 ดวง ด้านล่างเป็นเซนเซอร์วัดชีพจร
ขนาดของ “The Core” SmartBand2 และ SmartBand จะมีขนาดที่เท่ากันและตำแหน่งปุ่มและ LED ที่ตรงกันทำให้สามารถใช้สายรัดร่วมกันกับ SmartBand ตัวแรกได้ โดยถ้าเราชาร์จแบตเต็มจะมีไฟที่ LED ตัวแรกติดค้าง
สาย SmartBand 2 Wrist Strap ดีไซน์ใหม่ซึ่งสามารถปรับขนาดสายได้ระเอียดขึ้น โดยจะมีทั้งหมดแค่ 4 สีเท่านั้นคือน้ำเงิน ชมพู ดำ และขาว ไม่หลากสีแบบ SmartBand ตัวแรกคงเพราะมันใช้ด้วยกันได้ โซนี่เลยไม่อยากออกมาทับไลน์เยอะ
การปรับระดับสายที่ทำได้ง่ายขึ้น และใส่ดูแน่นกว่าแบบกดเหมือนสาย SmartBand ตัวแร
เปรียบเทียบ SmartBand1 และ 2 ถ้าใครเคยใช้ตัวแรกมาก่อนและต้องการเซนเซอร์วัดชีพจรเพิ่มก็ไม่ต้องช้ำใจซื้อสายใหม่แล้ว 😀
ลองสลับสายดูเลยดีกว่า ^_^
การใช้งานหลักๆ ของ SmartBand 2 ยังคงเชื่อมต่อและเก็บข้อมูลผ่านแอพฯ Lifelog อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ Sony ทำแอพฯแยกออกมาสำหรับ SmartBand2 โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าใน Smart Connect อีกแล้ว
การใช้งานเราจำเป็นต้องติดตั้งแอพฯ Lifelog ก่อนเพื่อทำการเก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งถือว่าเก็บข้อมูลได้ระเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็นการคำนวนจำนวนแคลลอรี่ที่เผาผลาญไป จำนวนการเดิน/วิ่งในแต่ละวัน การพักผ่อน ถ่ายรูป ฟังเพลง หรือแม้กระทั้งการใช้งานโซเชี่ยลต่างๆ ใครอยากรู้ว่าติดเฟซบุคไหมก็นี่แหละ 😀 โดยสามารถเลือกเปิด Map เพื่อดูได้เลยว่าวันนี้เราไปที่ไหนมาบ้าง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบโดยตรงถึงเหล่าพ่อบ้านใจกล้าได้เลยทีเดียว เอาล่ะฟังชั่นอื่นๆยังคงคล้ายกับ SmartBand ตัวแรก เรามาโฟกัสกันที่เซนเซอร์วัดชีพจรที่ถูกเพิ่มเข้ามากันเลยดีกว่า
โดยจะเป็นการโชว์อัตราการเต้นของชีพจรและเก็บข้อมูลช่วงเวลาต่างๆว่าระหว่างวันชีพจรเราเต้นสูงสุด/ต่ำสุด เฉลี่ยเท่าไร ซึ่งจะแสดงผลเป็นแบบกราฟดูเข้าใจง่าย และยังมีข้อมูล Stress & Recovery (HRV) ให้ดูอีกด้วย
“HRV -Heart rate variability คือ ความผันแปรของระยะเวลาของการเต้นของหัวใจในแต่ละครั้ง ยิ่งค่า HRV ยิ่งสูง แสดงว่าระบบประสาทอัตโนมัติชนิด Parasympathetic ทำงานได้ดี ได้สมดุลกับ Sympathethic. ยิ่ง HRVมีค่าสูง หมายถึงความฟิตที่มากขึ้นตามลำดับนอกจากนี้ HRV จะมี Factor อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความเครียด การพักผ่อน สภาวะทางจิตใจ ทำให้ HRVลดลง” -Avarinshop
ในส่วนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการเผาผลาญแคลลอรี่ การเดิน การนอนหรือแม้แต่การติดต่อสื่อสารต่างๆก็จะมีการเก็บข้อมูลเป็นรายวัน/สัปดาห์ ถึงรายปีเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนของ Sleeping จะมีการบันทึกถึงว่าเวลาที่เรานอนจริงๆเรานอนไปเท่าไร มีการหลับลึกหลับตื้นเท่าไร เหมาะสำหรับวิเคราะห์การปลุกและช่วงเวลาตื่นที่เหมาะสม ด้าน Communication ก็จะมีรายละเอียดการใช้งานต่างๆ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆคน Facebook และ Line น่าจะนำโด่งเป็นแน่ 😀
การตั้งค่าต่างๆของ SmartBand2 จะเป็นแอพฯแยกออกมาจาก Smart Connect แล้ว โดยจะเป็นการตั้งค่าต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเปิด/ปิดเซนเซอร์วัดชีพจร, การแจ้งเตือน, การปลุกอัจฉริยะ
- Notification สามารถเลือกเปิดปิดการสั่นแจ้งเตือนได้โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้แจ้งเตือนแอพฯไหนบ้าง
- Remote Control สามารถใช้คุมได้แค่ 2 อย่างคือใช้กดเพื่อให้โทรศัพท์ส่งเสียงเวลาหาไม่เจอและควบคุมเครื่องเล่นเพลงเท่านั้น
- Smart Wake up การปลุกอัจฉริยะ ซึ่งจะวัดการหลับลึกหลับตื้นของเราและปลุกเราในช่วงหลับตื้นให้เราสดชื่นที่สุดเวลาตื่นนอน โดยสามารถเลือกช่วงเลาที่จะให้มันปลุกได้
ด้านการกันน้ำ รองรับการกันน้ำที่มาตราฐาน IP68 สามารถดำน้ำลึกได้สูงสุด 3 เมตร เหมาะสำหรับใช้กิจกรรม Adventure ได้สบายๆ สำหรับแบตเตอรี่ผมใช้อยู่ได้ 3 วันกว่าๆ ถ้าไม่เปิดวัดชีพจรบ่อยอาจอยู่ได้ที่ 4-5 วันโดยประมาณ
ตอนนี่้นับว่าหลายๆคนเริ่มหันมาให้ความสนใจด้านดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือปั่นจักรยาน ทำให้มีอุปกรณ์เกี่ยวกับด้านนี้ออกมาพอสมควร ซึ่ง SmartBand2 ก็ได้ทำการอัพเกรดเซนเซอร์ตรวจวัดชีพจรเพิ่มขึ้นมาจากตัวแรกเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ โดยจุดเด่นหลักๆคงจะหนีไม่พ้น Lifelog ของโซนี่ที่เก็บข้อมูลต่างๆได้ระเอียดและนำเสนอได้เข้าใจง่าย สำหรับใครทีเป็นเจ้าของ SmartBand ตัวแรกหรือ SmartBand Talk อยู่แล้วนั้นตัวนี้อาจจะยังไม่ดึงดูดพอให้เป๋าสั่นเท่าไร แต่ถ้าใครยังไม่มีและสนใจ SmartBand สักอันไว้เก็บข้อมูลด้านสุขภาพล่ะก็ SmartBand2 ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ
สามารถสั่งซื้อ SmartBand2 ได้ที่ Shop.SE-Update.com ในราคา 4,990 บาท
- ประทับใจสุดๆ
- ดีจังเลย
- โกรธสุดๆ
- เฉยๆ อ่ะ
- รู้สึกหดหู่
ชื่นชอบ Gadget และเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นชีวิตจิตใจ พยายามหาอุปกรณ์ใหม่ เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น