เชื่อว่าหลายๆคนคงกำลังรอคอยรุ่นสานต่อตำนานความคมชัดระดับ 4K บนมือถือหลังจากประสบความสำเร็จกันไปแล้วกับ Xperia Z5 Premium ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนจอ 4K ตัวแรกของโลก และแล้วภายในงาน MWC 2017 เมื่อต้นปีนี้ Sony ก็ทำให้เราต้องร้อง “ว้าว” กันอีกครั้งหนึ่ง เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นนี้นอกจากจะเป็นรุ่นสืบทอดของซีรี่ย์ Premium แล้ว มันยังคงคอนเซ็ป “World’s first” หรือ “ครั้งแรกของโลก” ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก Xperia XZ Premium คือ สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมหน้าจอ 4K HDR รุ่นแรกของโลก และยังเป็นมือถือที่ถ่ายวีดีโอสโลว์โมชั่นที่ 960 fps (เฟรมต่อวินาที) ตัวแรกของโลกอีกด้วย (เปิดตัวพร้อมกับ Xperia XZs) เอาล่ะ เราไปยลโฉมน้องใหม่สุดในหมู่ Xperia กันเลยดีกว่า

 

Unbox & Design

กล่องที่บรรจุตัวเครื่องจะมาในรูปแบบเดิมตั้งแต่ Xperia X คือเป็นกล่องสี่เหลี่ยมกว้างกว่าตัวเครื่องเล็กน้อย อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะประกอบด้วยคู่มือ สายชาร์จรุ่น UCH20 และหูฟังรุ่น MH750 แต่สำหรับคนที่พรีออเดอร์เครื่อง Xperia XZ Premium ก็จะได้รับ Boxset ของแถมแยกมาอีกกล่อง โดยภายในกล่องมีเคส Style Cover Stand, USB Type-C Charging Dock และ Flash drive USB Type C & A (ไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย) อีกหนึ่งตัวเป็นของแถมสำหรับคนที่พรีออเดอร์ …อ้อ! นอกจากนี้ยังได้ประกาศนียบัตรขอบคุณที่จองเครื่องพร้อมลายเซ็นท่านประธาน Sony Mobile ประเทศไทยอีกด้วย~

ดีไซน์ของตัวเครื่องยังคงคอนเซ็ป Loop Surface ไว้เป็นอย่างดี ด้านหน้ามาพร้อมกับจอภาพขนาด 5.5 นิ้วอีกครั้ง แต่มาพร้อมกับความละเอียด 4K HDR โดยหน้าจอจะเป็นกระจกโค้ง 2.5D โดยใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5 ซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ส่วนบนส่วนล่างยังมีความหนากว่าสมาร์ทโฟนรุ่นทั่วไปในสมัยนี้ แต่ก็มีข้อดีคือช่วยให้จับได้สะดวกเวลาถือในแนวนอน ตำแหน่งลำโพงยังเป็นแบบลำโพงคู่ มาพร้อมเทคโนโลยี S-Force Front Surround ช่วยจำลองเสียงรอบทิศทาง ทำให้ฟังดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 13MP เสียงที่ได้จากลำโพงคู่ตัวนี้เทียบกับรุ่น Xperia XZ แล้ว ผมรู้สึกว่าทำได้ดีขึ้นนิดเล็กน้อยด้านความดังและรายละเอียดของเสียง

ส่วนบนของหน้าจอประกอบด้วย ไฟ Notification ถัดมาเป็นกล้องหน้าความละเอียด 13MP เซ็นเซอร์ Exmor RS™ ขนาด 1/3.06 นิ้ว  ประกบด้วยเลนส์มุมกว้าง 22 มม. มีค่ารูรับแสง F2.0 มาพร้อมระบบออโต้โฟกัสแบบมัลติโฟกัส (ต่อให้มี 2 คนในภาพก็โฟกัสได้) และรองรับระบบกันสั่นวิดีโอ 5 แกนเช่นเดียวกับกล้องหลัง ถัดมาเป็นลำโพงสนทนา และและเซ็นเซอร์ Proximity

ด้านข้างวัสดุที่ใช้ทำขอบในรอบนี้ทำมาจากไนลอนแทนเฟรมโลหะแบบแต่ก่อน แต่ก็มีข้อดีคือไม่บิดงอง่าย โดยทางด้านขวาไล่จากบนลงมาจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง (ย้ายตำแหน่งไปอยู่บนปุ่น Power แทน) ปุ่ม Power แบบฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ โดยจากสัมผัสผมว่ามันกดง่ายพอๆกับ Xperia XZs ซึ่งการสแกนสามารถทำได้ไวมาก สามารถเก็บลายนิ้วมือได้ 5 ชุดเหมือนเดิม ถ้าเครื่องสีดำปุ่ม Power ก็จะเป็นสีดำด้วยนะสำหรับตัว Premium ส่วนด้านล่างสุดเป็นปุ่มชัตเตอร์สามารถกดแบบ 2 จังหวะคือโฟกัสและชัตเตอร์ โดยสามารถกดค้างเพื่อใช้ฟีเจอร์ Quick Capture เข้าสู่แอพกล้องและจับภาพทันที โดยสามารถหยิบขึ้นมาถ่ายภาพได้ในเวลาเพียง 0.5 วินาทีเท่านั้น ทำให้เราไม่พลาดช็อตสำคัญ

อีกด้านหนึ่งจะเป็นช่องใส่ Micro SD Card โดยสามารถใส่ได้สูงสุด 256GB (2TB ตามทฤษฎี) ช่องใส่ SIM จะเป็นแบบ Nano SIM โดยเครื่องศูนย์ไทยจะเป็นรุ่น Dual ซึ่งถาดใส่ SIM2 เป็นแบบ Hybrid slot

ที่ว่าถาดใส่ SIM2 เป็นแบบ Hybrid นั้น ก็คือ จะต้องเลือกว่าจะใส่ Micro SD Card หรือจะเลือกใส่ SIM2 เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยถาดใน Xperia XZ Premium นั้นได้ออกแบบมาให้ถาด SIM1 แยกออกจากฝาพอร์ต ซึ่งตอนแรกผมนึกว่ามันจะช่วยเรื่องเวลาเปิดพอร์ตแล้วเครื่องไม่รีสตาร์ท แต่สุดท้ายก็รีสตาร์ทตอนดึงอยู่ดี (-_-“) ตรงนี้ผมว่าทำให้ใช้งานได้ลำบากขึ้นและเสี่ยงต่อการทำถาด SIM1 หล่นหายระหว่างเปลี่ยน

ด้านบนจะเป็นตำแหน่งไมค์ตัวที่สองใช้สำหรับอัดเสียงแบบ Stereo และใช้ตัดเสียงรบกวนด้วยในตัว และยังมีช่องหูฟัง 3.5 มม. เช่นเคย โดยคราวนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี AHO ที่จะวิเคราะห์รูปแบบหูฟังของเราและปรับสมดุลความถี่เพื่อกระจายสัญญาณเสียงที่เหมาะสม นอกจากนั้นการอัดเสียงผ่านหูฟังเช่น MDR-NC750 สามารถใช้ระบบ Binaural Recording เพื่อให้เสียงที่ได้มีความสมจริงและชัดเจนกว่าเก่า ชมคลิปเทียบความแตกต่างได้ที่นี่

ด้านล่างจะประกอบไปด้วยพอร์ต USB 3.1 Gen 1 ซึ่ง เร็วกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่า ด้วยความเร็วในการถ่ายโอนสุงสุดถึง 5Gbps เป็นซ็อคเก็ตแบบ USB Type-C™ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม ถัดไปรูเล็กๆนี้คือตำแหน่งไมโครโฟนสนทนา

โดยจะสังเกตได้ว่าทั้งด้านล่างและด้านบนจะใช้เป็นวัสดุโลหะขัดและโดนลบคมด้วยเทคโนโลยี Diamond Cut ช่วยเพิ่มความหรูขึ้นไปอีกระดับ

วัสดุด้านหลังจะกลับมาใช้กระจกแบบเดิม แต่เป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 เช่นเดียวกับหน้าจอ ไม่ต้องห่วงว่าตกแล้วจะแตกง่ายๆ ด้านบนเป็นตำแหน่งกล้องความละเอียด 19MP โดยวงแหวนรอบเลนส์กล้องใช้วัสดุสเตนเลสและตัวเลนส์กล้องเป็นกระจก ถัดมาเป็นไฟ LED Flash และชุดเซ็นเซอร์ Triple Imaging Sensor ซึ่งประกอบด้วย RGBC-IR Sensor และ  Laser Auto Focus โดยตำแหน่งการวางจะเป็นแนวขวางตามเลนส์กล้องแบบ Xperia X Compact แทน ส่วนด้านล่างจะเป็นตำแหน่ง NFC ซึ่งได้ย้ายกลับมาไว้ด้านหลังทำให้ใช้งานได้สะดวกเหมือนเคยแล้ว

แต่แน่นอนว่าการกลับมาใช้กระจกและยิ่งเป็นเครื่องสีโครเมียมด้วยนั้น ทำให้มันเปื้อนรอยนิ้วมือได้ง่าย แต่ก็สามารถใช้เสื้อ กางเกงยีนส์หรือผ้าทำความสะอาดทั่วไปเช็ดออกได้ง่ายเช่นกัน

โดยรวมถือว่าเป็นการผสมผสานดีไซน์ Loop surface เข้ากับกระจกได้เป็นอย่างดี และทำให้ดูสมกับคำว่า Premium ได้ แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ต้องยอมแลกไม่ว่าจะเป็นขนาดตัวเครื่องที่หนาและหนักขึ้น (195 กรัม) ซึ่งนับว่าใหญ่และหนักกว่าก่อน ทั้งๆที่หลายๆค่ายแข่งกันลดขนาดเครื่องลงมา >_< แต่พอลองใช้งานไปสักพัก ก็ยังถือว่าใช้งานได้มือเดียวสบายๆครับ ส่วนงานประกอบโดยรวมทำได้ดี รู้สึกแน่นหนาเวลาสัมผัส การใช้งานโดยทั่วไป

ซึ่งอีกหนึ่งข้อดีของตัวเครื่องสีโครเมียมคือมันก็จะสะดวกเวลาใช้กล้องหลังเซลฟี่ไม่น้อยเลยล่ะ ^_^)/

สเปคของ Xperia XZ Premium เรียกได้ว่าเหมือนการอัพเกรดอีกขั้นของโซนี่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการมาใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 835 ตัวใหม่ล่าสุดที่เครมว่าแรงและร้อนน้อยลงกว่าเดิม ด้าน RAM ก็อัพเกรดเพิ่มเป็น 4GB เรียบร้อย นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับหน่วยความจำภายในแบบ UFS 2.1 ซึ่งอ่านข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมถึง 3 เท่า (เลื่อน Gallery ไม่ต้องรอโหลดภาพอีกต่อไป) และน่าจะเป็นมือถือตัวแรกๆที่รองรับ Bluetooth 5.0 อีกด้วย

Specification

  • หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 4K HDR มาพร้อมเทคโนโลยี Triluminos Display, X-Reality Engine ใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่แข็งแรงกว่าเดิมทั้งด้านหน้าและหลัง
  • ประมวลผลด้วย Snapdragon 835 64-bit with Adreno 540 มาพร้อม Android 7.1 (ไวกว่า 820 ถึง 50% ประหยัดพลังงานกว่าเดิม 25%)
  • RAM 4GB พื้นที่หน่วยความจำภายใน 64GB แบบ UFS2.1 read speed 1.5 Gbps อ่านข้อมูลไวกว่าเดิม 3 เท่า สามารถเพิ่มด้วย Micro SDCard ได้อีก 256GB
  • กล้องหลัง 19MP Exmor RS, hybrid AF 960 fps slow-mo, 4K video [Motion Eye Sensor]
  • กล้องหน้า 13MP Exmor RS, f/2.0, 22mm เป็นเลนส์แบบ wide
  • รองรับ Wi-Fi 802.11ac, Bluetooth 5.0, NFC, USB 3.1 Type-C, A-GNSS (GPS + GLONASS)3, LTE (4G) Cat16 with Gigabit-class speeds3
  • แบตเตอรี่ 3230mAh รองรับเทคโนโลยี Quick Charge 3.0, Qnovo Adaptive Charging, STAMINA Mode
  • ด้านเสียงรองรับ Hi-Res Audio, DSEE HX, LDAC, Clear Audio+, Stereo Recording และเทคโนโลยี Digital Noise Cancelling
  • มาตราฐานการกันน้ำและฝุ่นอยู่ที่ IP65/68
  • รองรับการสแกนลายนิ้วมือ
  • ขนาดของตัวเครื่อง 156 x 77 x 7.9 mm หนัก 195 g (ขนาดพอๆกัน Xperia Z5 Premium แต่หนักกว่า 14 กรัม)
  • มี 3 สีให้เลือกคือ Luminous chrome กับ Deepsea Black และ Bronze Pink

หากนึกถึง Sony ก็ต้องนึกถึงการเล่นไฟล์เสียงความละเอียดสูงหรือ High Res. ซึ่งแน่นอนว่าทางด้านเสียงยังรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) เหมือนเคย โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี LDAC ของ Sony ที่จะช่วยให้เล่นเพลงแบบไร้สาย (Wireless) ผ่าน Bluetooth ได้ด้วยความละเอียดสูงสุด 24bit/96kHz หรือก็คือไม่สูญเสียรายละเอียดเลย (แต่ตัวหูฟังก็ต้องรองรับ LDAC ด้วยนะ) และยังมีฟังก์ชั่น DSEE-HX ที่สามารถดึงความละเอียดของเสียงในไฟล์เพลงที่มีความละเอียดต่ำจากการถูกบีบอัด ให้คืนความละเอียดกลับมาชัดใกล้เคียงต้นฉบับ

การใช้งานฟังก์ชั่น Digital Noise Cancellation กับหูฟังที่รองรับยังคงมีอยู่ นอกนั้นจะเป็นฟีเจอร์เดิมๆ เช่น Clear Audio+, S-Force Front Surround,Stereo recording และ Dynamic normalizer ที่จะช่วยให้ได้ยินเสียงในทุกย่าน

การใช้งานดูวีดีโอต่าง ๆ ให้สีสันที่สวยงาม และเต็มความละเอียด 4K HDR ทำให้ภาพที่ได้มีเฉดสีที่ดีเยี่ยมกว่าเดิม ประกอบกับเทคโนโลยี TRILUMINOS™ ทำให้ทุกเฉดสีจะมีความงดงามและสดใส โดยสามารถเลือกเปิด X-Reality® for mobile ซึ่งจะช่วยให้ภาพมีความคมชัดมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการลดจุดสีที่ผิดเพี้ยน และเพิ่มพื้นผิวภาพให้มีความคมชัดมากขึ้น ช่วยให้ภาพที่ได้ดูดีขึ้นอีกระดับ (ภาพด้านบนคือวีดีโอ 4K HDR บน Youtube)  นอกจากนั้นแผงหน้าจอยังถูกออกแบบใหม่โดยใช้เทคโนโลยี 2-in-1 Live Colour LED ที่ให้ความสว่างมากกว่า Xperia Z5 Premium ถึง 40% (ในโหมด HDR) และในส่วนของขอบเขตของสี (color space) ก็สามารถแสดงผลได้ 138% จากค่ามาตรฐาน sRGB เลยทีเดียว

HDR จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล ช่วยให้มีไล่เฉดสี และไล่ระดับความสว่าง ความมืด ได้ดีกว่าจอภาพโดยทั่วไป ช่วยปรับปรุงคอนทราส รายละเอียดภาพ และสีสันที่ดีขึ้นนั่นเอง (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ HDR ได้ที่นี่) ซึ่งในปัจจุบันสื่อวีดีโอที่ความละเอียดแบบ 4K ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Amazon Prime Video ฯลฯ ก็เริ่มมีวีดีโอแบบ 4K ให้รับชมกันแล้ว โดย Xperia XZ Premium จะรองรับมาตราฐาน HDR10, HLG ซึ่งเป็นมาตราฐานที่แพร่หลายของ HDR Display

นอกจากนั้น Sony ได้ใส่เทคโนโลยี Adaptive Tone/Backlight Mapping เข้ามาในหน้าจอ 4K รุ่นใหม่นี้ โดยปกติแล้วสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้อยู่ซึ่งแตกต่างกันย่อมมีอุณหภูมิสีที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดจัดนอกอาคารหรือแสงสลัวๆยามพลบค่ำ ต่างก็ส่งผลกระทบต่อภาพบนหน้าจอที่ผู้ใช้มองเห็น ทว่าเทคโนโลยี Adaptive Tone/Backlight Mapping นี้ไม่เพียงแค่วิเคราะห์สัญญาณภาพแล้วเก็บรักษารายละเอียดและสีสันในจุดที่มีความสว่างสูง แต่มันยังลงมือทำการปรับสีของภาพตามสภาพแสงในขณะที่ผู้ใช้กำลังรับชมอยู่อีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะสามารถมองเห็นรายละเอียดและสีที่แสดงออกมาจากหน้าจอ 4K HDR ได้มากขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น

อีกเรื่องนึงที่หลายๆคนบ่นตอน Xperia Z5 Premium ที่แม้จะเป็นจอ 4K ก็ตามแต่กลับถูกจำกัดให้ใช้งานแค่ไม่กี่แอป โดยถ้าเปรียบเทียบง่ายๆสำหรับการปรับความละเอียดไฟล์ภาพหรือการแสดงผลแบบธรรมดาเป็น 4K จะต้องผ่านกระบวนการ Up-scaling ซึ่งกระบวนการนี้ถูกใช้ใน Xperia Z5 Premium ซึ่งจะใช้ชิปประมวลผลทำให้กินแบตเตอรี่พอสมควร แต่ใน Xperia XZ Premium นั้นจะใช้วิธีการ Up-scaling 2 แบบคือ

  1. Pixel Doubler (เอาพิกเซลเดิมคูณด้วย 4 เพื่อให้กลายเป็น 4K) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้มาตั้งแต่ Xperia Z5 Premium แต่ใน Xperia XZ Premium นั้นจะใช้ฮาร์ดแวร์ของตัวหน้าจอเป็นตัวประมวลผลเลย ไม่ผ่านชิปประมวลผลแล้ว ทำให้สูญเสียพลังงานน้อยมาก สามารถใช้งานได้แบบ 4K ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกลัวว่าความละเอียดหน้าจอขนาด 4K จะบริโภคแบตเกินควรอีกต่อไป
  2. Pixel Complement ที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้ จะทำงานในแอพ Album และ Movie โดยอัตโนมัติ เพราะภาพและวิดีโอมีรายละเอียดค่อนข้างมาก การใช้วิธี X 4 จากเม็ดพิกเซลเดียวจะทำให้สูญเสียความละเอียดไป จึงเลือกใช้วิธีนี้แทน ซึ่งมันจะทำงานด้วยการวิเคราะห์สัญญาณภาพและเติมพิกเซลเพิ่มเข้าไปอย่างอัจฉริยะ ทำให้ทั้งอัพความละเอียดเป็น 4K และยังสามารถรักษารายละเอียดของภาพไว้ได้

การกันน้ำยังคงรองรับที่มาตราฐาน IP65/IP68 เช่นเคย ห้ามนำไปลงแช่ในน้ำทะเลหรือน้ำที่มีสิ่งเจือปน พอร์ต Slot Micro SD Card ทำได้หนาแน่น ใครที่คิดจะเอาลงไปถ่ายเล่นใต้น้ำก็หมดห่วงเรื่องนี้ได้ แต่ทางที่ดีเอาไว้แค่กันอุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำดีที่สุดครับ

XPERIA XZ Premium ได้เปลี่ยนมาใช้ USB Type-C แล้วทำให้สามารถใช้งาน Quick Charge 3.0 ได้ ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมในช่วง 0-80% และเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาอย่าง Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยตรวจสอบและปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Battery Care ที่จะคอยเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าควรชาร์จไฟช่วงไหนถึงช่วงไหนเช่นเราชอบเสียบชาร์จไว้ทั้งคืนแล้วถอดออกตอนเช้ามันก็จะจำพฤติกรรมนี้ไว้แล้วจะชาร์จรอแค่ 90% พอใกล้ถึงเวลาที่เราจะถอดมันก็จะเติมให้ครบ 100% แต่อันนี้ยังมีข้อด้อยตรงช่วงกลางวันที่ผมอยากรีบชาร์จให้มันเต็มแล้วออกไปทำธุระจะพบว่ามันจะเริ่มช้าลงช่วง 90-100% และช USB Type-C ยังสามารถทำให้มือถือเป็น Powerbank จ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ด้วยขุมพลังของ Qualcomm® Snapdragon™ 835 ประมวลผลแบบ 64-bit Octa-core นอกจากจะแรงขึ้นกว่าเดิม 50% แล้วยังประหยัดแบตกว่าเดิมถึง 25% ด้วย ประมวลผลกราฟิกด้วย GPU Adreno 540 ทำให้สามารถเล่นเกมกราฟิคหนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล จากการลองเล่น ROV และ Lineage 2 แบบปรับกราฟฟิคสูงสุดและเปิด High framerate อยู่พักใหญ่ พบว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น ตัวเครื่องมีความร้อนออกมาแค่อุ่นๆ องรับการดาวน์โหลดผ่าน LTE ด้วยความเร็วสูงสุด 1 Gbps อัพโหลดที่ 512Mbps

ลองเล่น ROV ไปติดๆ 3 ตา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงพบว่าอุณภูมิขึ้นมาประมาณ 5 องศาเท่านั้น (เครื่องไม่ร้อนแต่คนหัวร้อน :P) ขณะที่แบตเตอรี่ลดลงไป 25% นับว่าหมดห่วงเรื่องการเล่นเกมหรือใช้งานหนักๆ

การทดสอบ Benchmark ด้วยแอปต่าง ๆ ก็ได้คะแนนตามภาพ ด้วยอานิสงของหน่วยประมวลผล Snapdragon 835 + RAM 4GB ก็แสดงศักยภาพออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยจากการลองเทสความเร็วของ Internal Memory ก็ได้ความเร็ว Read อยู่ที่ 473MB/s และ Write อยู่ที่ 185MB/s โดยคะแนนโดยรวมของแอป Aututu นั้นก็อยู่ที่ 15267 ซึ่งก็นับว่าอาจจะน้อยกว่าบางค่าย แต่ถ้าลองใช้งานแล้วลื่นไหลหมดห่วงครับ

นับว่าเป็นอีกก้าวของ Xperia ที่ได้อัพเกรดฮาร์ดแวร์ขึ้นมาอีกระดับไม่ใช่รุ่น Minor change แบบ Xperia XZs โดยจากการใช้งานที่ผ่านมาผมโอเคกับเจ้า Xperia XZ Premium ตัวนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าจอที่คมชัดขึ้น การประมวลผลที่ไว ผมเปิด ROV เล่นตอนเช้า แล้วก็เปิดสลับกับแอปอื่นไปมาพอตอนเที่ยงจะเล่นก็เพื่อนก็กดสลับกลับมาได้เลยไม่ต้องรอโหลดใหม่ แบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ทนกว่าที่คิดไว้ เรียกได้ว่าถ้าไม่เล่นเกมมาก ใช้งานแบบทั่วๆไปก็อยู่ได้วันนึงแบบเหลือๆ และด้วยความร้อนเครื่องที่แทบจะไม่มีอีกแล้วไม่ว่าจะใช้งานหนักขนาดไหน (ดีใจ) ทำให้สามารถใช้ Powerbank ชาร์จแบบ Quick charge ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องร้อนอยู่จะทำให้สปีดชาร์จตก(ตอน Z5 นี่เล่นร้อนๆแล้วเสียบชาร์จต่อให้ Quick Charge ก็ขึ้นไม่เร็ว) ซึ่งตรงนี้นับเป็นอีกข้อดีของ Snapdragon 835 และการจัดวางเลเอาต์ใหม่ของชิ้นส่วนภายในเครื่อง และอีกสิ่งที่น่าจะได้รับผลไปเต็มๆเลยคือกล้องถ่ายรูป ซึ่งเราจะมาดูกันต่อ

กล้องใช้ชิปเซ็นเซอร์ตัวใหม่อย่าง IMX400 Exmor RS ขนาด 1/2.3 นิ้วเช่นเคย แต่ลดความละเอียดเหลือ 19 ล้านพิกเซล แต่อย่าเพิ่งตกใจว่าความละเอียดมันลดเพราะว่าได้เพิ่มขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น  1.22μm (ใหญ่กว่าเดิม 19%) ช่วยให้จัดการแสงได้ดียิ่งขึ้น ตอนกลางคืนก็จะถ่ายได้ภาพสว่างขึ้น ตอนกลางวันก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจ้าจนภาพเสียรายละเอียด และยังช่วยให้ Noise ลดลงอีกด้วย และด้วยการออกแบบวงจรภายในใหม่ทำให้เราสามารถใช้งานกล้องนานๆโดยไม่ปิดตัวเพราะความร้อนแล้ว!!!

ในแอปกล้องจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 โหมดด้วยกันคือ Manual, Superior Auto, Video และ Apps และโหมดถ่ายสโลโมชั่นเราสามารถเลือกได้จากหน้าเมนูของโหมดวีดีโอแล้วนะ ไม่ต้องเลื่อนไปหน้า Apps แล้วเลือกให้เสียเวลา (แต่ถ้าจะถ่าย 4K ก็ต้องไปใช้แอปแยกอยู่ดี) โดยรวมแอปกล้องยังไม่แตกต่างจากตอน Xperia XZs เท่าไร (ยังไม่สามารถตั้งสปีดชัตเตอร์กับ ISO ได้พร้อมกันอยู่ดี T_T)

เลนส์ G ที่โซนี่ได้บอกว่าได้ทำการปรับปรุงใหม่แก้ปัญหาขอบภาพเบลอที่หลายๆคนบ่นกันในรุ่นก่อนๆแล้ว รับรองชัดทุกมุม BIONZ ก็ได้รับการยกเครื่องใหม่เช่นกัน โดยจะประมวลผลภาพได้ดีและเร็วกว่าเดิม และยังมีเทคโนโลยี Triple Image Sensing คือ 3 เซ็นเซอร์หลักที่่ช่วยสร้างสรรค์ภาพถ่ายให้ออกมาสวยที่สุด

โดยสามารถสรุปฟีเจอร์กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิมได้ดังนี้

  • CMOS Sensor ขนาด 1/2.3 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี Phase detection Auto Focus และ Predictive Hybrid Auto Focus ที่โฟกัสได้ไวกว่าเดิมและสามารถเดาการเคลื่อนที่ล่วงหน้าของวัตถุได้
  • ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น 1.22μm หรือใหญ่กว่าเดิม 19% ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น  สามารถถ่ายภาพในที่สภาพแสงน้อยได้ดีกว่าเดิม และลด Noise ในภาพลง
  • เป็นกล้องตัวแรกที่ฝังหน่วยความจำลงบนเซ็นเซอร์ ช่วยให้ประมวลผลเร็วกว่าเดิม 5 เท่า จากที่ลองสามารถกดถ่ายรัวๆได้โดยไม่ต้องรอมันบันทึกภาพแล้ว
  • ด้วยอานิสงค์ของการฝังแรมบนเซ็นเซอร์ ทำให้สามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆโดยไม่มีอาการบิดเบี้ยวของวัตถุแล้ว
  • เทคโนโลยี Motion Eye มาพร้อมกับฟีเจอร์ Predictive capture และ Super-slow motion 960fps
  • RGBC-IR สำหรับตรวจจับสีของภาพถ่ายให้ออกมาสมจริงที่สุด โดยมีการตรวจจับสี RGB ให้มีค่าใกล้เคียงรูปจริงที่ถ่ายได้ เพราะว่าสีบนโลกล้วนเกิดจากการผสม RGB ทั้งนั้น
  • Laser Auto Focus ช่วยให้สามารถตรวจจับจุดโฟกัสวัตถุได้แม่นยำขึ้น แม้จะเป็นในที่แสงน้อยก็ตาม

เซ็นเซอร์ Exmor RS ตัวใหม่นี้ยังมาพร้อมกับ RAM ในตัวทำให้การส่งข้อมูลจากตัวเซ็นเซอร์แต่ละพิกเซลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 5 เท่า จึงทำให้สามารถถ่ายภาพแบบ Super Slowmotion 960 fps ได้ นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Anti Distortion ซึ่งเมื่อถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนที่ถ่ายวัตถุเร็วๆด้วยชัตเตอร์สูงๆ วัตถุในภาพอาจบิดเบี้ยวจากความเป็นจริงเนื่องจากการส่งข้อมูลแต่ละพิกเซลทำไม่ทัน ดังนั้นการเพิ่มชั้น RAM เข้าไปในตัวเซ็นเซอร์เลยจึงช่วยแก้ปัญหานี้ได้

และยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Predictive Capture โดยเมื่อเราเข้าโหมดกล้องแล้วมือถือจับวัตถุเคลื่อนไหวได้ มันจะเริ่มเก็บภาพก่อนเรากดชัตเตอร์ โดยจะเก็บไว้ให้เรา 3 ภาพและภาพตอนที่กดชัตเตอร์พอดีเป็น 4 ภาพ เทคโนโลยีนี้จะช่วยเวลาเราถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหว บางทีเราอาจจะกดชัตเตอร์ช้าไปทำให้หลุดมุมที่เราต้องการถ่ายไปแล้ว แต่ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้เราไม่พลาดและสามารถมาเลือกช็อตก่อนที่เราจะกดชัตเตอร์นั่นเอง โดยใน Xperia XZ Premium สามารถเลือกที่จะปิด/เปิด ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว ซึ่งอัตราการเก็บภาพ Predicted ก็จะแปรผันตามความเคลื่อนไหวในรูปถ้าเคลื่อนไหวน้อยก็อาจจะเก็บภาพแค่ 2 ภาพ

แต่ผมยังไม่ชัวการทำงานของโหมดนี้เหมือนกัน เพราะมันเหมือนจะเลือกเก็บภาพเมื่อมีวัตถุเคลื่อนไหวในภาพเท่านั้น ถ้าถ่ายวัตถุนิ่งๆก็จะไม่ทำการเก็บภาพ Predictive ให้ แต่หลายๆครั้งผมถ่ายภาพและเผลอกดชัตเตอร์ช้าไปก็ดันไม่เก็บภาพแบบ Predictive ให้ซะงั้นทั้งๆที่วัตถุในภาพก็เคลื่อนไหวอยู่ จากการได้ลองสุ่มถ่ายเหตุการต่างๆอยู่พักนึงก็พอเดาได้ว่าถ้าเกิดวัตถุนั้นเคลื่อนไหวแบบแนวเข้ามาทางเส้นตรง (จากไกลมาใกล้) ส่วนมากกล้องก็จะไม่เก็บภาพแบบ Predictive ให้แต่ถ้าวัตถุเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวาแบบชัดเจน ก็จะทำการเก็บภาพแบบ Predictive ทั้งนี้เป็นการทดลองและคาดเดาของผมนะครับ หลักการทำงานของ Predictive แบบเชิงลึกยังไม่แน่ใจว่าใช้หลักการคำนวนยังไงในการเก็บภาพ

กล้องยังสามารถปลดล็อคและถ่ายได้ภายใน 0.5 วินาทีด้วยการกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้เมื่อเครื่องอยู่ในสถานะ standby โหมด Manual Mode ให้ปรับค่าสปีดชัตเตอร์ได้ที่ 1/4000 ถึง 1 วินาที และสามารถปรับระยะโฟกัสได้ โดยมีระยะใกล้สุดที่ 12mm นอกนั้นจะเป็นการปรับค่าชดเชยแสง EV ทำได้ที่ +2 และ -2 สามารถปรับ ISOได้ตั้งแต่ 50-3200 ปรับ White Balance ได้ แต่ไม่สามารถเลือกอุณภูมิสีได้ในโหมด Manual โหมดเลือก Scene ถ่าย (SCN) จะสามารถเลือกได้ที่ความละเอียด 8MP ลงมาเท่านั้นเหมือนอย่างเคย

อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับผลเต็มๆจากการเพิ่มชั้นแรมในเซ็นเซอร์คือการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ ซึ่งปกติจะเกิดอาการบิดเบี้ยวของวัตถุเวลาถ่ายภาพจาก Electrical sensor ซึ่งเทคโนโลยี Motion Eye ของโซนี่ที่ใส่มาใน Xperia XZ Premium นั้นได้ช่วยแก้ปัญหานี้และทำให้ถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆโดยไม่เสียรูปทรงอีกด้วย แน่นอนว่าช่วยในการถ่ายภาพที่มีวัตถุเคลื่อนไหวโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าวัตถุจะเบลออีกต่อไป

ซึ่งปกติผมจะชอบถ่ายภาพแนวสตรีทอยู่แล้ว การได้พก Xperia XZ Premium ไปถ่ายภาพในสถานที่ต่างๆนั้นทำให้ผมแทบไม่พลาดช็อตที่ผมต้องการต่างๆไม่ว่าจะเป็นการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพได้ในเวลาอันรวดเร็ว หรือถ้าผมกดชัตเตอร์พลาดจังหวะก็ยังมี Predictive Capture เข้ามาช่วยไว้ไม่ให้ผมพลาดช็อตที่ต้องการ สำหรับการใช้งานโดยรวมเกี่ยวกับ Motion Eye นั้นสามารถทำให้การถ่ายภาพต่างๆง่ายขึ้นมาอีกระดับ

ถึงจุดนี้หลายๆคนที่ยังไม่มั่นใจในโหมด Superior Auto และคิดว่า Manual ยังดีกว่า อันนี้ผมลองไปตั้งถ่ายโดยที่สวนเบญจกิตติ โดยใช้ Manual ที่สปีดชัตเตอร์ 1 วินาที กับถ่ายด้วยโหมด Superior Auto แบบกดถ่ายเลย ภาพที่ออกมาให้ความแตกต่างกันน้อยมาก อาจจะมีคลื่นน้ำที่ Manual สามารถทำได้สมูทกว่าเนื่องจากสปีดชัตเตอร์ที่นานกว่า และถ้าซูมเข้าไปดูรายละเอียดภาพจริงๆจะพบว่า Manual ยังเก็บรายละเอียดตึกได้ดีกว่า แต่ถ้าเราจะใช้สปีดชัตเตอร์ที่ 1 วินาทียังไงก็ต้องพึ่งขาตั้งกล้อง ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่าถ้าเราใช้ Superior Auto แบบยืนถ่ายปกติน่าจะตอบโจทย์คนทั้วไปมากกว่า เพราะผลลัพธ์ที่ได้ออกมาถ้าไม่ซูมไปเทียบรายละเอียดจริงๆผมว่าไม่แตกต่างกันมากครับ

การถ่ายภาพในที่แสงน้อยสามารถทำได้ดีขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขนาดพิกเซลให้มีขนาดใหญ่และรับแสงได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสามารถลดข้อเสียต่างๆไม่ว่าจะเป็น นอยด์เยอะหรือภาพที่เป็นวุ้นของ Xperia รุ่นก่อนๆลงได้มาก และ Laser Focus ที่เพิ่มมาทำให้เราไม่ต้องรอมือถือจับโฟกัสในที่แสงน้อยนานหรือพลาดอีกต่อไป จากภาพผมมุดไปถ่ายแมวตัวหนึ่งใต้โต๊ะโดยใช้โหมด Superior Auto ก็จะเห็นว่าภาพที่ได้นั้นยังเก็บดีเทลต่างๆได้ดี แม้จะมีอาการเรนเดอร์ภาพที่เป็นวุ้นอยู่บ้าง แต่โดยรวมเทียบกับสถาพแสงใต้โต๊ะที่มืดมากตอนนั้น ถือว่าภาพที่ได้มาเป็นที่น่าพอใจ

การออกแบบชิ้นเลนส์ (G Lens) ใหม่ที่ทางโซนี่เครมไว้ว่าสามารถลดอาการเสียรายละเอียดภาพที่ขอบต่างๆได้ และลด Camera Distortion ลงได้ซึ่งจากภาพผมได้ลองซูมดูรายละเอียดที่จุดต่างๆ และมุมภาพทั้ง 4 ที่ปกติ Xperia ในรุ่นก่อนๆจะพบปัญหาขอบเบลอ ซึ่งจากการลองใช้งานถ่ายภาพมาซักพักนึงเมื่อตรวจดูก็จะไม่พบอาการดังกล่าวๆแล้ว

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นขึ้นมาใน Xperia XZ Premium คือเรื่องปัญหา Distortion ของเลนส์ที่บิดเบี้ยวแปลกๆซึ่งปกติด้วยความที่เลนส์ของ Xperia เกือบทุกรุ่นจะเป็นเลนส์แบบ Wide ซึ่งภาพจะออกแนวป่องตรงกลาง ซึ่งอาการนี้สามารถแก้ได้ด้วย Software แต่ใน Xperia XZ Premium นั้น ภาพที่ได้จะดูมีอาการ Distortion แปลกๆคือเบี้ยวเป็นคลื่นๆในภาพ ซึ่งผมได้ลองเทสโดยการถ่ายตาราง Excel ดูแล้วลองลากเส้นตรงทาบก็จะพบว่ามีอาการบิดเบี้ยวของภาพไม่มากนัก (ถ้าใช้ถ่ายทั่วไปแล้วไม่มีฉากที่เป็นเส้นแนวตรงในภาพก็แยกแทบไม่ออกอยู่ดี) แต่เท่าที่ลองดูเปรียบเทียบอาการเลนส์เบี้ยวนี้ในอินเตอร์เน็ตของผู้ใช้หลายๆรายก็พบว่าแต่ละรายก็มีอาการมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งตรงนี้คงต้องลองตรวจสอบเวลารับเครื่องกันอีกทีครับว่าเจออาการนี้มากน้อยขนาดไหน และรอดูว่าโซนี่จะออกอัพเดทมาแก้อาการนี้ยังไง

นอกจากนั้นก็ยังมีฟีเจอร์ถ่ายภาพซูม 5 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียดและ Digital Zoom ได้สูงสุด 8 เท่า การถ่ายภาพในโหมด HDR และที่กลับมาอย่างการบันทึกวีดีโอ 4K นอกจากนี้การถ่ายวิดีโอยังคงมีระบบป้องกันสั่น EIS 5 แกน “Steadyshot with intelligent active mode” ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง คลิปเปรียบเทียบเปิดและปิดกันสั่น

ด้านการโฟกัสยังมาพร้อม Predictive Hybrid Autofocus ซึ่งจะช่วยให้ถ่ายรูปวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น โดยจะทำการคาดเดาการเคลื่อนไหวของวัตถุล่วงหน้า และพยายามโฟกัสนำวัตถุเพื่อที่เวลาเรากดถ่ายภาพจะได้โฟกัสได้ตรงวัตถุพอดี โดยการโฟกัสยังย่อขยายตามขนาดวัตถุ

ตัวอย่างภาพตอนกลางวัน (ภาพถูกลดขนาดเหลือ 1.6MP)

ภาพตอนกลางคืน (ภาพถูกลดขนาดเหลือ 1.6MP)

การถ่ายวีดีโอที่เป็นปัญหาในรุ่นเก่าๆว่ากล้องร้อนและปิดตัวเร็วก็ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น(มาก)ในรุ่น Xperia XZ Premium ซึ่งก็เป็นผลพวงจากการออกแบบวงจรภายในใหม่อีกนั่นแหละ ทำให้สามารถถ่ายวีดีโอได้ยาวนานกว่าเดิม โดยผมได้ลองทดสอบบันทึกวีดีโอที่ความละเอียด 4K โดยตั้งกล้องไว้ระเบียงนอกห้องตอนบ่ายๆก็พบว่าสามารถถ่ายวีดีโอ 4K ได้ยาวนานถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที (แล้ว Internal Memory ก็เต็มก่อน >_<) จากนั้นลองสัมผัสดูก็ไม่รู้สึกว่าเครื่องร้อนมากแบบรุ่นก่อนๆ ซึ่งตรงนี้ก็คงจะถูกใจใครหลายๆคนเพราะโซนี่ได้ทำการรุกตลาดวีดีโอมาพักนึงแล้วไม่ว่าจะเป็นระบบกันสั่น 5 แกนหรือว่าด้านการบันทึกภาพแบบ Super Slow-motion แต่ไม่ยอมแก้ปัญหาให้ถ่ายได้นานๆซักที จนใน Xperia XZ Premium ปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อย

ทดสอบบันทึกวีดีโอความละเอียด 4K บันทึกเวลาช่วงเช้าถ่ายนาน 1 ชั่วโมง 16 นาที (ตัดต่อเร่งสปีดความเร็ว)

ทดสอบบันทึกวีดีโอความละเอียด 1080P 30FPS โดยเปิดระบบกันสั่น Standard Steadyshot

สำหรับใครที่สงสัยว่าการถ่ายแบบ Superslowmotion 960fps นั้นหรือการถ่ายวีดีโอที่โหมดอื่นๆภาพที่เราถ่ายได้จะโดน crop ลงมาเท่าไร เราได้ลองทำภาพเปรียบเทียบที่การถ่ายวีดีโอในโหมดต่างๆให้ดูกันครับ

  • เส้นสีเขียว – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (30fps) แบบธรรมดา ปิดตัวช่วยกันสั่น จะได้ภาพที่กว้างเต็มเลนส์พอดีเหมือนเราถ่ายภาพที่สเกล 16:9
  • เส้นสีน้ำเงิน –  บันทึกวีดีโอที่ HD 720p แบบ Slow motion 120fps
  • เส้นสีเหลือง – บันทึกวีดีโอโดยเปิดโหมด SteadyShot (Standard, Intelligent active)
  • เส้นสีส้ม – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (60fps) โดยเปิด Steadyshot ถ้าปิดกันสั่นก็จะได้สเกลภาพเหมือนกับเส้นสีเขียว
  • เส้นสีแดง – บันทึกวีดีโอที่ Super-slow motion 960fps

ซึ่งการถ่ายวีดีโอแบบ Super-slow motion 960fps นั้นจะเหมือนกับ Xperia XZs (ยังแพ้ในที่แสงน้อยอยู่ดี) คือต้องถ่ายในที่ๆมีแสงมากพอสมควร ถ้าถ่ายในที่แสงน้อยก็จะมี Noise ขึ้นอย่างชัดเจนเนื่องจากต้องดัน ISO สูง ส่วนการถ่ายในสถานที่ Indoor ที่มีแสงจากหลอดไฟจะเห็นภาพกระพริบก็ไม่ต้องตกใจนะครับเพราะ อัตราความถี่ของเมืองไทยคือ 50Hz ซึ่งเมื่อหารกับ 960FPS ไม่ลงตัวทำให้มันเกิดอาการกระพริบของหลอดไฟเกิดขึ้นเช่นเดียวกับการถ่ายที่สปีดชัตเตอร์สูงๆแล้วเห็นภาพเป็นเส้นดำๆนั่นแหละ

ตัวอย่างวีดีโอแบบ Super-slow motion 960p

กล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 13MP ใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS™ ขนาด 1/3.06 นิ้ว โดยเป็นเลนส์แบบ Wide 22mm ที่ค่ารูรับแสง F2.0 ทำให้สามารถเซลฟี่กล้องหน้าได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องยื่นแขนออกไปไกล หรือจะเซลฟี่เป็นหมู่คณะก็ยังได้เนื่องจากเลนส์ที่เก็บภาพได้กว้างกว่าทั่วไป โดยจะมาพร้อมกับระบบโฟกัสแบบ Multi-focus โดยสามารถดันค่า ISO สูงสุดอยู่ที่ ISO 6400 (ภาพถ่าย) และ 1600 (วิดีโอ)

ภาพถ่ายจากกล้องหน้า Xperia XZ Premium (ภาพถูกลดขนาดเหลือ 1.6MP)

Panorama ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ถ่ายได้เต็มความละเอียดมากขึ้นจากเดิมสามารถถ่าย wide เท่าไรก็ได้ โดยยิ่ง wide มากความละเอียดยิ่งมากตาม สามารถซูมดูภาพหลังถ่ายได้โดยที่ความละเอียดยังอยู่ครบ และ UI ของแอปยังปรับปรุงใหม่ให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยจะมีลูกศรคอยบอกว่าตอนนี้เราถือเครื่องเอียงหรือไม่และ ยังมีแถบส้มบอกว่าตอนนี้เราถือกล้องหลุดจากเฟรมที่ควรเป็นไปเท่าไร ทำให้สามารถปรับท่าทางการถ่ายได้ทัน

ส่วนโหมดอื่นๆเช่น Background Defocus ก็สามารถถ่ายได้เร็วกว่าเดิม ไม่ต้องกลัวภาพเบลอเพราะมือสั่นเพราะจะทำการถ่ายภาพ 2 ช็อตและเรนเดอร์ได้ไวขึ้นมาก ส่วนอีกโหมดอย่าง AR Effect ก็ใช้งานได้เร็ว ง่าย และนานกว่าเดิม จากแต่ก่อนที่เป็นโหมดที่ทำให้กล้องร้อนง่ายมาก มาใน Xperia XZ Premium ก็ถูกทำให้สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิมแล้ว

ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android™ 7.1 (Nougat) โดยจะยังคงใช้ Xperia UI เช่นเดิมแต่ได้ทำการปรับดีไซน์ต่างๆเล็กน้อย เช่นโลโก้แอปหลักต่างๆของเครื่องก็จะถูกปรับดีไซน์ให้เป็นทรงกลมเกือบทั้งหมด ตามคอนเซ็ปแบบ Unified Design ซึ่งจะทำให้ธีมกับตัวเครื่องมีความกลมกลืนกันมากขึ้น

หน้าจอ Lock Screen ได้เปลี่ยนใหม่เป็นแค่การสไลด์ธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไร แต่เพิ่ม Widget Clock ตัวใหม่ที่ดูสวยงามมากขึ้น การเปลี่ยนเวลาก็จะมี Animation แบบใหม่ที่ดูเพลินตาดี หน้า Home Screen ยังเป็นรูปแบบเดิม สามารถกดค้างเพื่อจัดการเพิ่ม/ลบหน้าหรือเพิ่ม Widget การตั้งค่าต่าง ๆ ของ Home Screen สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากส่วนนี้ โดยการตั้งค่าก็จะเป็นการตั้งค่า Launcher ทั่วไปตั้งแต่การปรับเปลี่ยนขนาด icon หรือตั้งตารางการแสดงผลหน้าจอให้เป็นรูปแบบตาราง  3×4 ไปจนถึง 5×5 หรือตั้งค่าให้เลื่อนซ้ายสุดเป็น Google Now ได้

App drawer จะคงรูปแบบไอคอนที่ 4×5 ปัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนหน้าแอพ  Search app จะอยู่ด้านบน ด้านซ้ายสุดจะเป็นส่วนของการค้นหาแอปและแนะนำแอปที่เราน่าจะใช้ สามารถลากแอปมารวมกันเป็นโฟลเตอร์เพื่อง่ายต่อการค้นหาใช้งานได้ นอกจากนี้เวลาที่เราเสียบสาย USB Type-C กับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากโหมด Charging only, Transfer files(MTP) และ MDI แล้วยังเพิ่มเมนูใหม่คือ Power supply สำหรับให้มือถือเราเป็นตัวจ่ายไฟให้อุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย

การใช้งานสลัปแอปต่างๆสามารถทำได้สะดวกมากขึ้น และเนื่องจากได้ทำการเพิ่ม RAM เป็น 4GB ทำให้การสลับแอปใช้งานลื่นไหลมากยิ่งขึ้น เปิดเกมเล่นตอนเช้า เที่ยงมาเปิดอีกทีก็สามารถเล่นต่อได้เลยไม่ต้องรอโหลดใหม่ ส่วนการใช้งาน Multi-Windows (แบ่งจอเป็นสองส่วน) ก็สามารถทำได้โดยง่ายโดยการกดค้างที่ปุ่ม Recent App (ปุ่มสี่เหลี่ยมขวาล่าง) ก็จะเข้าสู่โหมด Multi-Windows แต่ก็ยังไม่รองรับการใช้งานในโหมดนี้ทุกแอป

Contact และโทรศัพท์ยังคงรูปแบบเดิมไว้ สามารถ Sync รายชื่อจากบัญชี Gmail ของเราลงมาได้ สามารถเพิ่มชื่อ หรือมาร์ค Favorites คนที่โทรหาบ่อยหรือจะตั้งกลุ่มรายชื่อ Messages สามารถเลือกส่งเป็นกลุ่มได้สะดวกขึ้น ส่วนคีย์บอร์ดในเครื่องจะเป็นแอป Swiftkey โดยมีข้อดีที่ปรับขนาดคีย์บอร์ดได้, แถบเดาคำ และจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากที่เราพิมพ์และคอยแก้ไขให้ถูกต้องตลอด, สามารถ Cut หรือ Copy คำที่เราใช้งานบ่อยปักหมุดไว้ได้ด้วย สะดวกไม่ต้องคอยพิมพ์ซ้ำ และสามารถเปลี่ยนธีมคีย์บอร์ดได้ด้วย แอป Email สามารถ Sync อีเมล์ต่าง ๆ ได้แถบ Notification ยังคงรูปแบบคล้ายเดิม สามารถเลือนลงมาอีกครั้งเพิ่งเข้าสู้หน้า Quick Setting ได้ โดยสามารถเลือกปรับเลเอาต์ Quick Setting ได้ตามใจเราว่าจะเอา icon ไหนไว้ตรงไหนจะลบหรือเพิ่มก็ได้

 

Clock ยังคงรูปแบบเดิม สามารถดูเวลาตามโซน ตั้งปลุก Calendar ได้เพิ่มลายกราฟิกสวย ๆ และไฮไลท์วันสำคัญและคิวนัดต่าง ๆ สามารถ Sync ตารางงานเราจาก gmail ได้โดยตรงเลย ในแต่ละเดือน ดูสวยงามกว่าเดิม Weather อิงข้อมูลจาก AccuWeather.com มาพร้อมหน้าตา UI ที่สวยงาม และ Calculator ได้เพิ่มฟังก์ชั่นวิทยาศาสตร์เข้ามา

GPS ถือว่าทำงานได้เร็ว และมีความแม่นยำพอสมควร แต่ยังมีดีเลนิดๆเวลาเปิดขึ้นมาจุดหมายจะเพี้ยนจากจุดที่อยู่ประมาณ 5 วินาที ก่อนจะตรงจุด แต่การใช้งานโดยรวมถือว่าสามารถใช้นำทางได้อย่างไม่มีปัญหาครับ

ถัดมาเป็นแอปหลักที่มากับโซนี่อย่าง What’s New ทำหน้าที่อัพเดทข้อมูลใหม่ๆ แอปต่างๆ XPERIA Lounge สำหรับติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ จากโซนี่ และ Google Play ไว้สำหรับโหลดแอป หนังและ E-Book ส่วน Lifelog จะเป็นแอปที่ใช้เก็บข้อมูลด้านสุขภาพในแต่ละวันของเรา จะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพต้องใช้งานคู่กับสาย Smartband ของโซนี่่ ซึ่งจะช่วยให้เก็บข้อมูลได้หลากหลายและแม่นยำมากขึ้น

Music การใช้งานยังคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนฉากหลังหน้า Player ให้เป็นการละลายปกอัลบั้มแทนการใช้สีแบบเดิม สามารถเลือนนิ้วจากมุมซ้ายเพื่อเข้าสู่เมนูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Play queue, Albums, Song, Playlist หรือ Setting และยังเพิ่มบริการจาก Spotify มาให้ในแอปเลย สามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลเพลงผ่าน Download Music info ได้ ในส่วนของ Audio Settings จะเป็นการเลือกเปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น DSEE HX, ClearAudio+, Dynamic normaliser, S-Force Front Surround ในส่วนของ Sound Effect สามารถเลือกตั้งค่า Equalizer หรือเลือกระบบเสียงต่าง ๆ ของหูฟังได้ ในส่วนของ Accessory จะเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น Noise cancelling, LDAC, Mic sensitivity และสามารถตั้งค่า Sleep timer ได้แล้ว

Album ยังคล้ายเดิมอยู่ โดยสามารถเลือกดูภาพโดยรวมหรือแยกดูแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้ การเลือกดูรูปหลายรูปหรือทีละ 3 รูป 2 รูปในหนึ่งแถวทำได้ง่ายเพียงแค่ลากนิ้วกางเข้า/ออก หรือสามารถเลือกดูภาพแบบ Slideshow ก็ได้ การใช้งานเวลาเลื่อนดูภาพเร็วๆไม่พบอาการรอโหลดภาพอีกต่อไปเพราะเปลี่ยนมาใช้ USF Internal Memory รองรับการแชร์ภาพกับ Facebook, Picasa และ Flickr รองรับฟีเจอร์ Home Network ซึ่งการ Cast ภาพหรือวีดีโอไปแสดงบน Smart TV นั้นเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นแบบ High data rate preferred คือส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง แต่อาจจะเสียรายละเอียดภาพไปบ้างหรือ High quality preferred ซึ่งจะส่งภาพที่ความเร็วต่ำกว่า อาจจะใช้เวลาเพิ่ม แต่จะไม่เสียรายละเอียดภาพในการส่ง

Video สามารถตั้งค่าให้เล่นแบบ Background playback และเปิด Subtitle ได้ และได้เพิ่ม Home Network เข้ามาในแอปเลย ด้านการตัดต่อวีดีโอยังมาพร้อมกับแอป Movie Creator เพื่อสามารถสร้างวีดีโอสไลด์ภาพเกร๋ ๆ โชว์เพื่อนก็ได้ ผมชอบฟังก์ชั่นที่มันจะจับภาพในรอบ 1 สัปดาห์หรือ 1 เดือนมาทำวีดีโอไฮไลท์ให้เราได้ดู

Settings ถูกปรับให้หลาย ๆ เมนูที่เคยอยู่ในหมวดออกมาอยู่ด้านหน้าเลย เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง และเพิ่มกราฟฟิกสวย ๆ ขึ้นมาในแต่ละเมนูเพื่อสื่อให้เราเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น การ Cast ภาพไปยังอุปกรณ์ต่างๆยังรองรับการเทคโนโลยี Screen mirroring, Cast on TV หรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นจอย DUALSHOCK4 ได้อย่างครบถ้วน โดย Software ของเครื่องที่เรารีวิวจะเป็นแพทอัพเดท 45.0.A.1.229 ส่วน Xperia Care นั้นเราสามารถเข้าไปเช็ค Product ID หรือประกันที่เหลืออยู่ได้ นอกจากนั้นสามารถเข้าไปดูข้อมูลการใช้งานต่างๆได้ผ่าน Xperia Care ได้เช่นกัน

การเลือกโหมดแสดงผลของหน้าจอที่จะมีรูปและคลิปเปรียบเทียบให้ดูกันไปเลยว่าแต่ละโหมด ระหว่างเปิดกับปิดให้ภาพต่างกันยังไง โดยใน Xperia XZ Premium นั้นจะแยกการเปิด/ปิดฟีเจอร์ X-Reality for mobile Smart ออกไปอยู่ในหัวข้อ Video image enhancement แทน ส่วนการตั้งค่าสีหน้าจอปกติจะใช้คำว่า Color gamut and contrast แทน โดยจะเปลี่ยนการตั้งค่าเป็น 3 โหมดหลักๆคือ

  • Professional mode จะเป็นโหมดที่ใช้ sRGB ที่ 100% color gamut ซึ่งจะให้สีที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งสะดวกเวลาเราต้องแต่รูปบนมือถือและต้องการนำรูปนั้นไปปริ้นใช้งานจริง เพราะสีที่เห็นบนจอจะใกล้เคียงสีจริงมากที่สุด น่าจะถูกใจช่างภาพที่โอนภาพจากกล้องมาแต่งบนมือถือได้โดยที่ไม่ต้องรอกลับไปแต่งที่บ้าน
  • Standard mode จะใช้เทคโนโลยี TRILUMINOS Display ในการเรนเดอร์ภาพให้มีสีสันที่สวย สดใสมากขึ้น
  • Super-vivid mode โหมดที่จะทำให้สีหน้าจอของเครื่องสดมาก เหมาะแก่การเล่นเกมหรือคนที่ชอบสีเข้มๆแบบฟลูคัลเลอร์

ซึ่งการเลือกโหมดต่างๆนี้ถ้าเราไปปรับค่า White Balance หน้าจอในโหมดต่างๆ เมื่อเราเปลี่ยนโหมดมันก็จะจำได้ว่าตอนเราใช้โหมดนี้ เราปรับค่า White Balanced หน้าจอไว้เท่านี้นะ ถ้าเราเปลี่ยนกลับมามันก็จะเปลี่ยนค่า White Balance ไว้ตามที่เราตั้งไว้ในโหมดนั้นๆ โดยไม่ต้องมาตั้งกันใหม่

Backlight control ที่จะคอยจับความเคลื่อนไหวของสายตาผู้ใช้ เพื่อไม่ให้หน้าจอดับแม้จะไม่มีการสัมผัสหน้าจอนั่นเอง สามารถตั้งค่า Text และ Display size โดยจะมีตัวอย่างให้ดูระหว่างการตั้งค่าเลย

สามารถตั้งค่า Notification ได้ละเอียดกว่าเดิมชนิดที่ว่าเลือกไปตั้งค่าแต่ละแอปกันได้เลย โดยสามารถกำหนดในแต่ละแอปได้เลยว่าจะให้เลือกเตือนเฉพาะแอปไหนบ้างซึ่งเราสามารถตั้งค่า Default ของแอปต่างๆว่าจะให้เปิดตัวแอปอะไร โดยจะมีหน้ารวม App permission ต่างๆให้เราดูได้ว่ามีแอปตัวไหนขอ Permission อะไรไปบ้าง

Smart cleaner ที่จะเพิ่มความฉลาดในการจัดการแรม โดยจะช่วยปิดโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้นาน และกำจัดไฟล์ขยะและ cache ต่าง ๆ โดยมีฟังก์ชั่นใหม่เพิ่มเข้ามาอย่าง Transfer data  ที่สามารถเลือกได้ว่าจะย้ายข้อมูลแบบไหนไปเก็บบน SD Card และ Choose items to remove ที่มันจะคอยสอดส่องว่าข้อมูลไหนที่เราไม่ได้ใช้มานานเกิน 30 หรือ  90 วันแล้วและจัดการให้ Screen pinning หรือการล็อกหน้าจอไว้ที่แอพนั้นเพียงแอพเดียวเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

Battery ยังคงมาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA Mode เช่นเคย โดยมีทั้งแบบธรรมดาและ Ultra STAMINA mode สำหรับการประหยัดแบตสุดขีดอีกด้วย แต่มันจะตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างทำให้เราเหมือนแค่ใช้โทรศัพท์โทรเข้าออกได้เฉย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก STAMINA Level ได้ด้วย โดยมีทั้งหมด 3 ระดับด้วยกันคือ

  • Battery time preferred จะปิดการทำงานเกือบทุกอย่าง คล้าย ๆ กับ Ultra STAMINA Mode แต่จะยืดแบตได้ยาวนานที่สุด
  • Balanced power saving จะทำการปิดแค่บางฟีเจอร์เท่านั้น แต่ยังใช้งานโดยรวมทั่วไปได้ปกติอยู่ อาจลดความแรงของเครื่องลงนิดหน่อย
  • Device performance preferred จะปิดการทำงานแค่บางฟังก์ชั่นเท่านั้น แต่จะประหยัดแบตน้อยสุดใน 3 ระดับที่เกริ่นมา

Smart Stamina จะจัดสรรพลังงานของคุณให้ล่วงหน้า ทำให้สามารถบริหารจัดการแบตเตอรี่ให้อยู่ได้ทั้งวัน และได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาคือ Qnovo Adaptive Charging โดยสามรถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานโหมดนี้ได้ที่เมนู Battery Careได้เลย โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยถนอมแบตในกรณีที่เราชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน มันจะไม่ชาร์จให้เต็ม 100% เลยแต่จะคงไว้ที่ 90% ก่อนแล้วพอถึงเวลาประจำที่เราใกล้ตื่นจึงจะชาร์จให้เต็ม 100%

สำหรับการ Backup ข้อมูลของตัวเครื่องเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เก็บไว้ที่ไหน แอปที่เรา Backup มีอะไรบ้าง และเลือกที่เก็บไฟล์ว่าจะเก็บที่ไหน

Assist ที่ปรับปรุง UI ให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น โดยจะรวมเมนูต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นใช้งานเครื่อง (Introduction to Xperia) หรือเทคนิคการใช้งานต่างๆ (Xperia Tips) และโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง  Xperia Actions ซึ่งช่วยปรับแต่งค่าการทำงานของสมาร์ทโฟนให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ เพื่อให้คุณใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานให้เข้ากับชีวิตเราได้มากยิ่งขึ้น โดยจะแบ่งเป็นตอนต่างๆเช่นเรานอน, ทำงาน หรือเวลาเรานั่งเครื่อง ช่วยให้สามารถใช้งาน Xperia ในสถานการณ์ต่างๆโดยที่ไม่ต้องคอยมาตั้งค่าตลอดเวลา

หลังจากใช้งานมาสักระยะ นับว่า Xperia XZ Premium นั้นถือเป็นการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นของโซนี่อย่างชัดเจน ด้วยการอัพเกรดสเปคในหลายๆส่วน รวมถึงการจัดเรียงแผงวงจรภายในใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความร้อนที่เรื้อรังมานาน จนสามารถถ่ายวีดีโอที่ความละเอียด 4K ได้เป็นชั่วโมงๆนั้น ถือว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก สามารถเล่นเกมหรือใช้งานหนักๆได้โดยไม่เจอปัญหาเครื่องร้อนอีกต่อไป นอกจากนี้ การกลับมาใช้หน้าจอความละเอียด 4K และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ HDR Display ในตอนนี้เป็นอะไรที่เหมาะเจาะ เพราะหลายๆอย่างเริ่มเข้าสู่ยุค 4K แล้ว โดยผู้บริการหลายๆเจ้าเริ่มหันมาปล่อยวีดีโอความละเอียดสูงให้ได้รับชมกันมากขึ้น และไม่ใช่แค่ความละเอียด 4K ตอนดูวีดีโอหรือภาพเท่านั้น เพราะภาพที่เราเห็นบนจอของ Xperia XZ Premium จะเป็นความละเอียด 4K ตลอดเวลา และไม่สิ้นเปลืองพลังงานจากปกติอีกด้วย

ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีเพราะแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น สามารถใช้งานได้เต็มวันแบบสบายๆ ด้านฟีเจอร์กล้องที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Motion Eye อย่าง Predictive Capture และ Super-slow motion 960fps ทำให้เพิ่มมุมมองการถ่ายภาพใหม่ๆได้มากกว่าที่คิด จะมีก็แต่เรื่องดีไซน์ที่ผมว่ามันยังดูหนาไปเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาจนถือจับไม่สะดวก เพราะด้วยดีไซน์แบบ Loop Surface ที่ทั้งกระจกหน้าและหลังจะโค้งเข้าหากันทำให้สามารถถือใช้นานๆได้ไม่ปวดมือ

สำหรับราคาในประเทศไทยตอนนี้เปิดตัวอยู่ที่ 25,990 บาท สามารถหาซื้อได้ทาง Sony Store หรือร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือทั่วไป สำหรับรีวิวนี้ก็หวังว่าจะช่วยในการตัดสินใจของเพื่อนๆได้บ้าง เพราะด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่อัดเข้ามาในครั้งนี้ ผมมองว่า ถ้าจะหามือถือ Flagship ดีๆไว้ใช้สักตัว Xperia XZ Premium เป็นตัวเลือกต้นๆของคุณแน่นอนครับ 😀

สำหรับใครที่เป็นเจ้าของ Xperia XZ Premium แล้วอยากตกแต่งด้วยเคสสวยๆหรือหาซื้ออุปกรณ์เสริมอื่นสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ครับ

เคส Xperia XZ Premium

 

 

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่