หลังจากที่ Xperia Z3+ หรือ Xperia Z4 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดของ Sony Mobile ในปีนี้ได้เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคมและวางจำหน่ายแล้วในหลายๆประเทศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลายๆคนอาจจะคิดว่านอกจากชิพประมวลผล ความจำภายใน กล้องหน้า ตัวเครื่องบางลง และการกันน้ำโดยไม่มีฝา USB แล้ว เรือธงรุ่นนี้แทบจะไม่แตกต่างจากเรือธงรุ่นก่อนอย่าง Xperia Z3 เลย แต่ที่จริงแล้ว Xperia Z3+ นั้นมีการปรับปรุงขึ้นจากรุ่นก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่ Sony อาจจะทำการประชาสัมพันธ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้น้อยคนนักที่จะทราบ
▲ตัวเครื่องบางลงจาก Xperia Z1 (Sony Mobile นับรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของเรือธงตระกูล Z) ถึง 1.6 มม. โดยเหลือเพียง 6.9 มม. เท่านั้น
▲นอกจากตัวเครื่องจะบางลงและเบาลงจาก Xperia Z3 0.4 มม. และ 8 กรัม ตามลำดับ Sony ยังได้ทำให้กระจกฝาหลังของ Xperia Z3+ ทำหน้าที่เป็นกระจกกล้องด้วยเลย ทำให้ด้านหลังเรียบเนียนสนิท ไม่มีช่องว่าง
▲ มุมขอบทั้ง 4 ของตัวเครื่องมีตัวกันกระแทกที่เคลือบโลหะเหมือนกับ Xperia Z3 แต่ได้หุ้มด้วยวัสดุแบบใสที่ทนต่อการขีดข่วนเพิ่มเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง หากเครื่องตกกระแทก รอยจะเกิดบนชั้นที่โปร่งใสแทน ทำให้มองไม่เห็นรอย
▲ หน้าจอสว่างขึ้นอีก 16% จากรุ่นก่อนหน้า
▲ นอกจากเทคโนโลยี Triluminos display for mobile และ X-Reality for mobile แล้ว Sony Mobile ยังระบุว่าความสว่างของหน้าจอ Xperia Z3+ เป็นที่สุดของสมาร์ทโฟนเรือธงในขณะนี้ และไม่เพียงแค่นั้น ปกติแล้วสมาร์ทโฟนหลายๆรุ่นใช้งานลำบากมากเมื่อออกไปเจอแสดงแดดจ้าๆ Sony จึงได้ใส่เทคโนโลยีใหม่มาที่จะช่วยปรับ Dynamic range ของ Contrast แบบอัตโนมัติ กล่าวคือ เมื่อออกไปกลางแดด หน้าจอจะปรับส่วนที่มืดให้สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นภาพบนหน้าจอได้อย่างชัดเจน และยังได้ระบุว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ได้ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้น
▲ Sony ได้ทดสอบให้ดูด้วยการใช้แสงที่สว่างจ้าส่องลงไปที่บริเวณเซนเซอร์วัดแสง ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่าบริเวณที่มืดนั้นสว่างขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก โดยส่วนที่สว่างอยู่แล้วไม่ได้ถูกปรับให้สว่างขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มความสว่างของหน้าจอเพียงอย่างเดียว Sony ระบุว่าเป็นการทำงานในส่วนการแสดงสี ช่วยลดการใช้พลังงานของตัวเครื่องได้ด้วย (เพราะหน้าจอสว่างขึ้นโดยไม่ได้ใช้วิธีเร่งไฟให้สว่างขึ้น)
▲ แม้ว่าความจุแบตเตอรี่ของ Xperia Z3+ จะมีเพียง 2930 mAh ซึ่งน้อยกว่า Z3 ที่มี 3100 mAh แต่ Sony Mobile ก็มั่นใจว่าระยะเวลาการใช้งานจะไม่ด้อยลง เป็นที่รู้กันว่า หน้าจอคือส่วนหลักที่กินพลังงานแบตเตอรี่มากที่สุด ซึ่ง Sony ได้จัดการใส่ หน่วยความจำเพิ่มเข้าไปในชั้น Panel drive IC ของหน้าจอ โดยเมื่อประมวณผลแล้วพบว่าภาพบนหน้าจอเป็นภาพนิ่งไม่จำเป็นต้อง refresh ก็จะเก็บภาพนั้นไว้บนหน่วยความจำเพื่อแสดงผลโดยไม่ refresh หน้าจอ (ซึ่งปกติ refresh rate จะอยู่ที่ 60MHz) นั่นทำให้สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้พอสมควรเลย
▲ จากรุ่นก่อนๆที่เวลาหน้าจอเปียกจะทำให้การสัมผัสไม่แม่นยำหรือรวน เทคโนโลยี Wet Tracking ที่เพิ่มเข้ามาใน Xperia Z3+ ช่วยให้สามารถสัมผัสได้แม่นยำแม้หน้าจอจะเปียกน้ำก็ตาม แน่นอนว่ายังไม่ถึงขั้นสามารถใช้งานใต้น้ำได้ แต่ก็ถือว่าก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว
▲ กล้องหน้าของ Xperia Z3+ ถูกอัพเกรดเป็น 5 ล้านพิกเซล โดยใช้เซนเซอร์ Exmor R F2.4 ขนาด 1/5 นิ้ว ที่มีความไวต่อแสงสูง และยังใช้เลนส์ที่กว้าง 25 มม. เพื่อให้สามารถเก็บภาพได้กว้างขึ้น
▲ นอกจากกล้องหน้าจะมีมุมกว้าง 25 มม. แล้ว กล้องหน้ายังใช้งานโหมด Superior Auto ได้อีกด้วย
▲ โหมด Superior Auto ของกล้องหน้ารองรับการถ่ายแบบ HDR ด้วย
▲ กล้องหลังได้เพิ่มเทคโนโลยี By pixel Super resolution เข้ามา ซึ่งจะทำให้สามารถซูม 3x ได้โดยสูญเสียความละเอียดไม่มากเท่าเมื่อก่อน ขั้นตอนคือ crop ภาพความละเอียด 8 ล้านพิกเซลจาก 20 ล้านพิกเซล จากนั้น crop อีกครั้งให้เหลือ 2 ล้านพิกเซล แล้วใช้เทคโนโลยี By pixel Super resolution เพื่อคืนรายละเอียดภาพให้กลับสู่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
▲ เทคโนโลยี SteadyShot สำหรับป้องกันสั่นเวลาถ่ายวิดีโอ สามารถใช้งานในกล้องหน้าได้แล้ว
▲ โหมด Superior Auto เพิ่ม Scene “Gourmet” เข้ามา สำหรับถ่ายอาหารโดยเฉพาะ
▲ นอกจากคุณภาพเสียงของลำโพงสเตอริโอบนตัวเครื่องยังคงยอดเยี่ยมเหมือนกับ Xperia Z3 ประสบการณ์ฟังเพลงผ่านอุปกรณ์ต่างๆยังถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น Bluetooth ได้ถูกอัพเกรดขึ้นเป็นเวอร์ชั่น 4.1 และรองรับเทคโนโลยี LDAC แล้ว
▲ ใน Xperia Z3 การปรับค่าชดเชยเสียงเพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงของหูฟังแบบมีสายนั้นรองรับเพียงแค่หูฟังของ Sony เอง และต้องเลือกรุ่นเองจากในรายชื่อ แต่สำหรับ Xperia Z3+ การปรับค่าจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องจะตรวจจับเองว่าเป็นหูฟังประเภทไหน และยังรองรับหูฟังยี่ห้ออื่นนอกจาก Sony แล้วด้วย
▲ฟีเจอร์การฟังเพลงได้ถูกอัพเกรดขึ้น Xperia Z3+ นอกจากได้ถูกเพิ่มให้รองรับเทคโนโลยี LDAC เข้ามา ในการเล่นเพลงผ่านสาย 3.5 มม. ความถี่ที่รองรับได้ถูกเพิ่มจาก 96kHz/24bit เป็น 192kHz/24 bit
▲เทคโนโลยี LDAC ทำให้ส่งสัญญาณเสียงผ่าน Bluetooth ได้ด้วยความละเอียดสูงกว่า Bluetooth แบบธรรมดาถึง 3 เท่า ซึ่งจะทำให้สามารถส่งสัญญาณเสียงจากไฟล์ Hi-Res หรือ Lossless ไปยังหูฟังหรือลำโพงที่รองรับเทคโนโลยี LDAC เช่นกันได้โดยไม่ถูกบีบอัดหรือลดคุณภาพเสียงลงอย่างที่เคยเป็นจุดอ่อนของการฟังเพลงไร้สายในอดีต
จะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วมีเทคโนโลยีใหม่ๆถูกเพิ่มเข้ามาบน Xperia Z3+ ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่มีกระแสเกี่ยวกับปัญหาความร้อนจากชิพ Snapdragon 810 ซึ่งเท่าที่อ่านมา ส่วนมากจะเกิดความร้อนสูงเมื่อชิพประมวลผลทำงานหนัก เช่น เล่นเกมภาพ 3D สวยๆ หรือเปิดใช้งานกล้องหลังนานๆ อย่างไรก็ดี Xperia Z3+ ก็คงจะไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยอยู่แล้วเมื่อสังเกตจากการที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนิเซียเริ่มจำหน่ายกันไปแล้วและการที่งาน IFA 2015 ที่คาดว่าจะเปิดตัวเรือธงรุ่นใหม่ใกล้เข้ามาทุกที แต่หากใครจะซื้อเครื่องหิ้วมาใช้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว ส่วนผู้ที่รอสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นถัดไปก็อุ่นใจได้ เทคโนโลยีเหล่านี้ทั้งหมดคงจะถูกนำไปใส่ในรุ่นถัดไปเช่นเดียวกัน
ที่มา: ePrice, Marco Kao Blog
- ประทับใจสุดๆ
- ดีจังเลย
- โกรธสุดๆ
- เฉยๆ อ่ะ
- รู้สึกหดหู่
สาวกอารยธรรมผู้คลั่งไคล้ทุกสรรพสิ่งที่ติดโลโก้ SONY.