อาจจะแปลกใจกับการเปิดตัว Xperia XZs ที่หลายๆคนยังมองว่าเป็นแค่ตัวอัพเกรดสเปคของ Xperia XZ ประกอบกับการจัดเต็มให้ Xperia XZ Premium ชนิดที่ว่ากลบรัศมีของ Xperia XZs ไปเลยก็ว่าได้ ทำให้หลายๆคนอาจจะมองข้ามรุ่นนี้ไป แต่!!! การอัพเกรดที่อาจดูไม่เยอะมากของ Xperia XZs นั้นเรียกได้ว่าแทบจะลบล้างขอเสียทั้งหมดของ Xperia XZ ไปหมดเลยก็ได้ ประกอบกับราคาที่เปิดตัวถูกลงกว่าเดิม เพียง 21,990 บาทเท่านั้น ถ้าใครยังสนใจสมาร์ทโฟนจอ 5.2 นิ้วอยู่ แต่ยังลังเลว่าจะเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้หรือรอ Xperia XZ Premium ดี เอ๊ะ…ตอนนี้ Xperia XZ ลดราคาลงมาเหลือ 18,990 บาทด้วยสิ เราจะมาดูกันในรีวิวนี้ว่า Xperia XZs นั้นอัพเกรดอะไรขึ้นมาบ้าง และสามารถตอบโจทย์เพื่อนๆได้หรือไม่ครับ

    ดีไซน์โดยรวมของ Xperia XZs ยังคงใช้คอนเซ็ป “Loop Surface” คล้ายกับ Xperia XZ รุ่นก่อน โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้วแบบ IPS TRILUMINOS Display โดยจะใช้จอชนิด Corning Gorilla Glass ที่แข็งแรง เป็นจอแบบขอบโค้งมน 2.5D วัสดุฝาหลังยังคงใช้รูปแบบเดียวกับ Xperia XZ อยู่เรียกว่าดีไซน์ไม่ต่างกันเลยก็ว่าได้

    ตัวเครื่องจะมีความโค้งที่ขอบทำให้ถือเล่นได้สบายมือ ด้านหน้ามีลำโพงคู่ Stereo ตำแหน่งไฟ LED Notification และ NFC จะอยู่ที่มุมบนซ้าย โดย Xperia XZs ได้เปิดตัวออกมาทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ได้แก่ Warm Silver, Black และ Ice Blue โดยแต่ละสีก็จะใช้หน้าจอเป็นสีเดียวกับตัวเครื่องสีนั้นๆ

    ตำแหน่งวางปุ่ม Power ได้ถูกออกแบบมาให้เว้าลงเล็กน้อยเพื่อให้กดได้สะดวกขึ้น ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มชัตเตอร์ ขอบเครื่องยังทำด้วยวัสดุที่เป็นพลาสติกแข็งเช่นเดิม

    ด้านหลังยังคงทำมาจากโลหะ ALKALEIDO™ เช่นเดิม การทำสีใหม่นี้ช่วยให้สีตัวเครื่องเมื่อถูกแสงสะท้อนดูสวยงามยิ่งขึ้น โดยด้านล่างของฝาหลังยังคงมีส่วนที่เป็นแถบพลาสติกเพื่อให้สัญญาณโทรศัพท์สามารถผ่านได้โดยไม่มีปัญหา ตรงกลางสลักโลโก้ Xperia  ด้านบนจะเป็นกล้อง Motion Eye ตัวใหม่ที่ลดความละเอียดลงมาเหลือ 19 ล้านพิกเซล (เราจะพูดถึงเหตุผลที่ลดความละเอียดลงในรีวิวส่วนกล้อง) เลนส์กล้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิม โดยนูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย นอกจากนี้ยังคงมีเซ็นเซอร์ Laser Focus , RGBC-IR Sensor และ LED Flash อยู่ด้านล่าง

    ด้านบนจะเป็นตำแหน่งพอร์ตหูฟัง 3.5mm และตำแหน่งไมค์บันทึกเสียงตัวที่ 2 ซึ่งจะทำงานคู่กับไมค์ด้านล่างเพื่อบันทึกเสียง Stereo วัสดุเป็นแบบเดียวกับด้านล่าง และทำหน้าที่ตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนาโทรศัพท์ โดยขอบด้านบนและล่างทำมาจากพลาสติกทั้งคู่ จากมุมนี้สามารถเห็นได้ชัดว่าเลนส์กล้องได้นูนขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เรียบไปกับฝาหลังแบบ Xperia XZ แล้ว ซึ่งเป็นเพราะเซ็นเซอร์กล้องได้เพิ่มชั้น DRAM เข้ามาทำให้โมดูลกล้องหนาขึ้น แต่พอกล้องมีแหวนรอบๆแบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบ แถมยังทำให้เลนส์เป็นรอยยากขึ้นเพราะจะดันไม่ให้ตัวเลนส์สัมผัสพื้นโดยตรงเวลาวางเครื่องอีกด้วย

    อีกด้านหนึ่งเป็นตำแหน่งของช่องใส่ SIM และ Micro SD Card โดยถาดใส่ SIM หลักจะเป็น Nano SIM ส่วนช่องสำหรับใส่ Micro SD Card จะเป็นแบบ Hybrid Slot กล่าวคือ ช่องที่ 2 ต้องเลือกระหว่างจะใส่ SIM ที่ 2 หรือจะใส่ Micro SD Card เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง Xperia XZs รองรับการแสตนด์บาย SIM รองในโหมด 3G

    ด้านล่างมีช่องเสียบสาย USB Type-C เวอร์ชั่น 2.0 และตำแหน่งไมค์บันทึกเสียงตัวที่ 1 สำหรับการสนทนาและอัดเสียง สามารถใช้งาน Quick Charge 3.0 ได้ ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมในช่วง 0-80% โดยยังเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาเมื่อปีก่อนอย่าง Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยตรวจสอบและปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ และ Battery Care ที่จะคอยเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าควรชาร์จไฟช่วงไหนถึงช่วงไหน นอกจากนี้การที่มีพอร์ต USB Type-C ยังสามารถทำให้ Xperia XZs ทำหน้าที่เป็น Powerbank จ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่างๆได้อีกด้วย

    โดยรวมๆแล้ว ลักษณะภายนอกของ Xperia XZs นั้นยังคงเหมือนกับ Xperia XZ แทบจะทุกประการ มีเพียงแค่เลนส์กล้องที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเท่านั้น การสัมผัส วัสดุ งานดีไซน์แบบ Loop surface ยังให้สัมผัสที่ดี เพราะตัวเครื่องโค้งรับกับอุ้งมือเรา ปุ่มชัตเตอร์ยังกดได้ง่าย รวมทั้งสีใหม่ 3 สีอย่าง Ice Blue ที่เป็นโทนสีฟ้าอ่อนสวยงาม Black ที่เป็นสีดำเข้มขึ้นกว่าเดิม และ Warm Silver ที่จะเป็นสีเงินโทนอ่อนๆ ก็ดูสวยแปลกตา

    สเปคของ Xperia XZs ถือว่่าปรับปรุงจาก Xperia XZ ไม่มากนัก เรียกได้ว่าแค่เอาไปตีบวกเพิ่ม RAM เป็น 4GB ซึ่งจากการทดลองใช้งานก็ช่วยด้านการ Multi-tasking ได้ดีขึ้นกว่าเดิม การใช้งานโดยรวมยังลื่นไหลแต่ยังให้ความรู้สึกไม่ต่างจาก Xperia XZ มากนัก อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือโมดูลกล้องตัวใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Motion Eye

Specification

  • SoC Qualcomm® Snapdragon™ 820  64-bit processor
  • RAM 4GB , ROM 64 GB (สำหรับรุ่น 2 ซิม) แบบ EMMc รองรับ MicroSD Card สูงสุด 256 GB
  • IPS TRILUMINOS™ Display 5.2 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 1920p รองรับ X-Reality® for mobile ใช้กระจกกันกระแทก Corning® Gorilla® Glass
  • กล้องหลัง 19 MP 1/2.3” Exmor RS™ (25mm wide G-Lens) ประมวลผลด้วยชิป BIONZ® สามารถดัน ISO ได้สูงสุด 12800 มาพร้อมกับ Triple image sensing technology และเทคโนโลยีใหม่ Motion Eye
  • รองรับ Predictive Hybrid Autofocus, Fast Capture, 4K video recording, HDR photo และระบบกันสั่นแบบใหม่ SteadyShot™ with Intelligent Active Mode (5-axis stablization) และเทคโนโลยีใหม่อย่าง Super slowmotion 960fps, Predictive Capture
  • กล้องหน้า 13MP 1/3.06” Exmor RS™ ISO สูงสุด 6400 ในที่แสงน้อย 22Mm wide-angle lens F2.0 ขนาดพิกเซลเพิ่มเป็น 1.12 µm
  • ขนาดตัวเครื่อง 146 x 72 x 8.1 mm น้ำหนัก 161g (เท่ากับ Xperia XZ)
  • รองรับการใช้งาน 2 SIM (4G+3G)
  • รองรับมาตราฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP65/IP68
  • พอร์ตเชื่อมต่อเป็นแบบ USB Type-C (2.0)
  • แบตเตอรี่ขนาด 2,900 mAh มาพร้อมกับเทคโนโลยี Qnovo Adaptive Charging ที่ช่วยยืดอายุแบต กับ STAMINA mode, Battery care และรองรับ Quick Charge 3.0
  • มี 3 สีให้เลือกคือ Ice Blue, Warm Silver, Black

    ทางด้านเสียงยังรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) โดยรองรับเทคโนโลยี aptX และ LDAC ของโซนี่ที่จะช่วยให้เล่นเพลงแบบไร้สาย  (Wireless) ผ่าน Bluetooth ได้ด้วยความละเอียดสูงสุด 24bit/96kHz ซึ่งรุ่นนี้ได้ถูกปรับปรุงเรื่องการส่งสัญญาณ LDAC ให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ฟังก์ชั่น DSEE-HX ที่สามารถดึงความละเอียดของเสียงในไฟล์เพลงที่มีความละเอียดต่ำจากการบีบไฟล์ ให้มีความละเอียดสูงขึ้นกว่าเดิม การใช้งานฟังก์ชั่น Digital Noise Cancelling กับหูฟังที่รองรับยังมีอยู่ นอกนั้นจะเป็นฟีเจอร์ตามเดิมเช่น Clear Audio+, S-Force Front Surround, Stereo recording และ Dynamic normalizer ที่จะช่วยให้ได้ยินเสียงในทุกย่าน โดยรวมเรื่องเสียงได้รับการปรับปรุงเพิ่มจาก Xperia XZ เล็กน้อย

    การกันน้ำรองรับที่มาตราฐาน IP65/IP68 แต่ก็อย่าเผลอนำไปลงแช่ในน้ำทะเลหรือน้ำที่มีสิ่งเจือปนล่ะ เพราะมาตราฐานนี้วัดจากน้ำที่นิ่งและบริสุทธิ์เท่านั้น พอร์ตของช่องใส่ SIM/Micro SD Card ทำได้หนาแน่น สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ดี แต่ถ้าใครคิดที่จะนำลงไปถ่ายใต้น้ำก็ต้องรับความเสี่ยงในเรื่องความดันน้ำที่สูงกว่าปกติด้วยนะครับ

    จอของ Xperia XZs นั้นยังรองรับการแสดงผลด้วยเฉดสีที่ดีขึ้น โดยให้สเปคตรัมสีสูงถึง 138% (sRGB 138%) มากกว่าจอสมาร์ทโฟนทั่วๆไป รวมถึงความสว่างของหน้าจอที่ทำได้ดีขึ้น สามารถใช้งาน Outdoor ได้อย่างสบายๆ แต่น่าเสียดายที่ฟีเจอร์ Tap to wake up หรือ Tap to sleep (การเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิด/ปิดจอ) ถูกถอดออกไปเพราะโซนี่พบปัญหาการเคาะเปิดติดบ้างไม่ติดบ้าง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ผมใช้ประจำเวลาวางมือถือไว้ด้วย หวังว่าเมื่อแก้ปัญหาได้คงจะอัพเดทซอฟแวร์นำฟีเจอร์นี้กลับมา

    Xperia XZs ยังคงมาพร้อมชุดชิพประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 เช่นเดียวกับ Xperia XZ และ GPU Adreno 530 ทำให้สามารถเล่นเกมกราฟิคหนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล จากการลองเล่น ROV และ Modern Combat ตัวเครื่องยังร้อนอุ่นๆเช่นเดียวกับ Xperia XZ แต่ความรู้สึกเวลาเล่นเกม Xperia XZs จะทำได้ลื่นไหลกว่า

    การทดสอบ Benchmark ด้วยแอปต่างๆ ผมได้ทำการทดสอบทั้งหมด 4 แอปด้วยกันคือ AnTuTu, Geekbeanch, 3DMarks และ A1 SD Bench ส่วนผลเป็นยังไงไปดูที่ด้านล่างได้เลยครับ โดยผมได้ปล่อยให้เครื่องทำการทดสอบไปเรื่อยจนเสร็จหลังจากที่ใช้งานการประมวลผลแบบหนัก ๆ วัดอุณภูมิเฉลี่ยได้ประมาณ 48 องศาเซลเซียส

    สำหรับกล้องที่ได้รับการอัพเกรดมาใหม่ หลังจากที่ได้ใช้เซ็นเซอร์ IMX300 มานานตั้งแต่ Xperia Z5 โดยแม้ว่าได้เปลี่ยนมาใช้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ที่ลดความละเอียดลงเหลือ 19 ล้านพิกเซล แต่ได้ก็เพิ่มขนาดพิกเซลให้ใหญ่ขึ้น โดยจะอยู่ที่ 1.22μm (จากเดิม 1.08μm) และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า Motion Eye โดยจะทำการ buffer ตรวจจับความเคลื่อนไหวตลอดเวลา และช่วยลดเวลาในการบันทึกภาพเพราะมีชั้น DRAM เพิ่มขึ้นมาในเซ็นเซอร์กล้อง

สามารถสรุปฟีเจอร์กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิมได้ดังนี้

  • CMOS Sensor ขนาด 1/2.3 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี Phase detection Auto Focus และ Predictive Hybrid Auto Focus ที่โฟกัสได้ไวกว่าเดิมและสามารถเดาการเคลื่อนที่ล่วงหน้าของวัตถุได้
  • ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น 1.22μm หรือใหญ่กว่าเดิม 19% ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น  สามารถถ่ายภาพในที่สภาพแสงน้อยได้ดีกว่าเดิม และลด Noise ในภาพลง
  • เป็นกล้องตัวแรกที่ฝังหน่วยความจำลงบนเซ็นเซอร์ ช่วยให้ประมวลผลเร็วกว่าเดิม 5 เท่า จากที่ลองสามารถกดถ่ายรัวๆได้โดยไม่ต้องรอบันทึกภาพแล้ว
  • ด้วยอานิสงส์ของการฝัง DRAM บนเซ็นเซอร์ ทำให้สามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆโดยไม่มีอาการบิดเบี้ยวของวัตถุแล้ว
  • เทคโนโลยี Motion Eye มาพร้อมกับฟีเจอร์ Predictive capture และ Super-slow motion 960fps
  • RGBC-IR สำหรับตรวจจับสีของภาพถ่ายให้ออกมาสมจริงที่สุด โดยมีการตรวจจับสี RGB ให้มีค่าใกล้เคียงรูปจริงที่ถ่ายได้ เพราะว่าสีบนโลกล้วนเกิดจากการผสม RGB ทั้งนั้น
  • Laser Auto Focus ช่วยให้สามารถตรวจจับจุดโฟกัสวัตถุได้แม่นยำขึ้น แม้จะเป็นในที่แสงน้อยก็ตาม

    UI กล้องยังคงรูปแบบเดิม โดยการปัดซ้าย/ขวาสำหรับเปลี่ยนโหมดต่างๆ โดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 โหมดด้วยกันคือ Manual, Superior Auto, Video และ Apps ซึ่งโหมด Apps นี้จะไม่สามารถโหลดแอปกล้องต่างๆได้ผ่านโหมดนี้แล้ว ต้องเข้าไปโหลดใน Play store เท่านั้นซึ่งผมว่ามันยุ่งยากกว่าเก่าเพราะค้นหายากว่าแอปไหนที่รองรับแอปกล้องของเครื่องบ้าง และโหมดถ่ายสโลโมชั่นเราสามารถเลือกได้จากหน้าเมนูของโหมดวีดีโอแล้วนะ ไม่ต้องเลื่อนไปหน้า Apps แล้วเลือกให้เสียเวลา (แต่ถ้าจะถ่าย 4K ก็ต้องไปใช้แอปแยกอยู่ดี)

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีขึ้น ผลพวงมาจากการขยายพิกเซลให้ใหญ่กว่าเดิม 19% คือการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยทำได้ดีกว่าเดิมมาก เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น Noise ของภาพลดลงแต่ถ้าซูมดูจะเห็นว่าภาพยังเป็นวุ้นอยู่นิดๆ แต่รายละเอียดของภาพทำได้ดีขึ้นมาก โดยโซนี่ได้เครมไว้ว่า จะทำให้ภาพสว่างขึ้น 19% ลด Noise ลง 50% ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าได้ตามเลขนี้จริงหรือไม่ แต่จากที่ลองใช้ ทำได้ดีกว่าเดิมขึ้นจริงๆครับ

    Predictive Hybrid Autofocus หรือระบบโฟกัสตามวัตถุ โดยยังทำงานได้เหมือนเดิม แต่ผมว่ายังไม่ได้รับการปรับปรุงจาก Xperia XZ เท่าไร การตามวัตถุ ยังทำงานได้ดีเมื่อวัตถุไม่กลมกลืนกับฉากหลังเกินไป ยังคงมีอาการโฟกัสตามพลาดบ้างกรณีที่วัตถุและฉากหลังมีสีที่คล้ายกันหรือวัตถุที่มีความซับซ้อนของสีเยอะ

    Predictive Capture เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มขึ้นมา โดยหลักการของมันคือ เมื่อกล้องตรวจพบการเคลื่อนไหวของวัตถุเวลาเราเปิดแอปกล้อง มันจะทำการถ่ายภาพก่อนเรากดชัตเตอร์ไว้ 1-3 ภาพมาเก็บไว้ใน DRAM บนเซ็นเซอร์ และเอามาเทียบกับภาพที่เรากดถ่ายอีก 1 ภาพทำให้เราสามารถเลือกภาพในช็อตที่ต้องการได้สูงสุด 4 ภาพทำให้ไม่พลาดโมเม้นดีๆที่เราต้องการถ่ายเก็บ แน่นอนว่าภาพที่ได้เต็มความละเอียดที่ถ่ายด้วย โหมดนี้จะทำงานตลอดเวลา โดยโซนี่บอกว่ากล้องสามารถเลือกถ่าย Predictive Capture ได้อย่างชาญฉลาดจากการทดสอบลองถ่ายพวกภาพวิวหรือวัตถุที่หยุดนิ่งโหมดนี้จะไม่ทำงาน แต่ถ้ามาถ่ายริมถนนที่รถวิ่งไปมาก็จะเป็นการเปิดใช้งานโหมดนี้โดยอัตโนมัติ

    เซนเซอร์ Motion Eye นั้นด้วยการฝังชั้น DRAM ไว้ภายในทำให้สามารถส่งผ่านข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม 5 เท่า และทำให้สามารถเก็บภาพได้เร็วกว่าเดิมมาก ทำให้ไม่มีปัญหา Rolling Shutter หรือวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆบิดเบี้ยวนั้นเอง ต่อให้เคลื่อนไหวเร็วก็สามารถถ่ายให้เหมือนหยุดนิ่งได้

    อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดที่เพิ่มขึ้นมาอย่าง Super-slow motion 960fps ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็วที่ความถี่ 960 ภาพต่อวินาที หรือ 960fps นั่นเอง หลังจากฟีเจอร์ Slow motion ถูกเปิดตัวบน Xperia ครั้งแรกโดยเป็นโหมด Timeshift Video บน Xperia Z2 ซึ่งถ่ายได้เพียง 120fps คราวนี้จึงทำให้ได้ภาพที่สโลว์กว่าเดิมซึ่งทำให้ได้มุมมองวีดีโอที่สวยงามขึ้น แต่การถ่ายนั้นยังสามารถทำได้ที่ความละเอียด HD เท่านั้นและภาพจะโดน crop ขอบข้างออกไปเยอะมาก และยังไม่เหมาะกับการถ่ายในที่แสงน้อย สามารถดูตัวอย่างการถ่ายแบบ Super-slow motion ที่คลิปด้านล่าง

Xperia Superslowmotion 960fps

    การใช้งานต้องอาศัยการกะที่แม่นยำอยู่พอสมควรเพราะไม่สามารถถ่ายเสร็จแล้วค่อยมาเลือกช่วงสโลว์ได้แบบโหมด Timeshift Video แล้ว ซึ่งการถ่าย Super-slow motion ต้องกดสโลว์ตอนบันทึกวีดีโอเลย โดยเมื่อเรากดสโลว์แล้ว กล้องจะบันทึกช่วงจังหวะนั้นด้วยความเร็ว 960fps เป็นเวลา 0.182 วินาที แล้วนำมาเล่นที่ 30 fps กลายเป็นภาพสโลว์โมชั่นความยาว 5.8 วินาที ซึ่งต้องอาศัยการฝึกถ่ายอยู่พักหนึ่งกว่าจะจับจังหวะได้ ไม่งั้นอาจจะถ่ายสโลว์พลาดจุดที่เราต้องการสโลว์กันง่ายๆ

    สำหรับใครที่สงสัยว่าการถ่ายแบบ Super-slow motion 960fps นั้นหรือการถ่ายวีดีโอที่โหมดอื่นๆภาพที่เราถ่ายได้จะโดน crop ลงมาเท่าไร เราได้ลองทำภาพเปรียบเทียบที่การถ่ายวีดีโอในโหมดต่างๆให้ดูกันครับ

  • เส้นสีเขียว – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (30fps) แบบธรรมดา ปิดตัวช่วยกันสั่น จะได้ภาพที่กว้างเต็มเลนส์พอดีเหมือนเราถ่ายภาพที่สเกล 16:9
  • เส้นสีน้ำเงิน –  บันทึกวีดีโอที่ HD 720p แบบ Slow motion 120fps
  • เส้นสีเหลือง – บันทึกวีดีโอโดยเปิดโหมด SteadyShot (Standard, Intelligent active)
  • เส้นสีส้ม – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (60fps) โดยเปิด Steadyshot ถ้าปิดกันสั่นก็จะได้สเกลภาพเหมือนกับเส้นสีเขียว
  • เส้นสีแดง – บันทึกวีดีโอที่ Super-slow motion 960p

    โหมดที่ใช้ถ่าย Panorama ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ถ่ายได้เต็มความละเอียดมากขึ้นจากเดิม จากแต่ก่อนที่เวลาถ่ายยิ่งถ่าย wide เท่าไรความละเอียดภาพจะยิ่งลดเพราะแอปจะคุมไม่ให้เกินความละเอียดกล้องของเครื่อง แต่สำหรับแอป Panorama ตัวใหม่ใน Xperia XZs นี้ได้รับการพัฒนาให้สามารถถ่าย wide เท่าไรก็ได้ โดยยิ่ง wide มากความละเอียดยิ่งมากตาม สามารถซูมดูภาพหลังถ่ายได้โดยที่ความละเอียดยังอยู่ครบ และ UI ของแอปยังปรับปรุงใหม่ให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยจะมีลูกศรคอยบอกว่าตอนนี้เราถือเครื่องเอียงหรือไม่และ ยังมีแถบส้มบอกว่าตอนนี้เราถือกล้องหลุดจากเฟรมที่ควรเป็นไปเท่าไร ทำให้สามารถปรับท่าทางการถ่ายได้ทัน

ตัวอย่างภาพถ่าย Panorama จะเห็นว่ายิ่งกว้าง pixel ยิ่งเยอะขึ้น ไม่ลดความละเอียดลงแบบรุ่นก่อนๆแล้ว

    Manual Mode ยังคงรูปแบบคล้ายเดิมอยู่ แต่ได้ตัดโหมด SCN (การเลือกถ่ายซีนต่างๆ) ออกไป โดยสามารถเลือกถ่ายได้ทั้งความละเอียด 19MP และ 12MP เช่นเดียวกับโหมด Superior Auto โดยสามารถปรับสปีดชัตเตอร์ได้เช่นเดิม ซึ่งเมื่อปรับสปีดชัตเตอร์ปุ๊ป ISO ก็จะเด้งเป็น Auto เช่นเดิม ทำให้ยังไม่สามารถใช้สปีดซัตเตอร์ 1 วินาทีในที่ๆมีแสงมากได้เช่นเดิม T_T

    สำหรับ UI Manual Mode ก็ยังคงรูปแบบเดิม โดยสามารถปรับตั้งค่า White Balance ค่าชดเชยแสง EV สปีตชัตเตอร์  1/4000 จนถึง 1 วินาที และสุดท้ายสามารถเลือกระยะ Focus เองได้ใช้สร้างโบเก้เล็กๆได้เลย

    อันนี้จะเป็นภาพที่ถ่ายเทียบกันระหว่าง Superior Auto (ซ้าย) และ Manual Mode เปิดสปีดชัตเตอร์ที่ 1 วินาที (ขวา) โดยจะเห็นได้ว่าภาพตอนกลางคืนเมื่อเราเปิดสปีตชัตเตอร์นานขึ้นจะทำให้ภาพสว่างสวยงาม แต่ยิ่งเราเปิดสปีดชัตเตอร์นานภาพจะเบลอง่ายขึ้นถ้ามือไม่นิ่ง ถ้าเป็นไปได้หาที่วางมือหรือใช้ขาตั้งกล้องดีกว่า

    White Balance ทำได้ดีตั้งแต่ใช้ RGBC-IR มาเป็นตัววัดค่าสีต่างๆเพื่อให้ค่า WB ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดโดยผมได้ลองถ่ายในห้องที่เปิดให้แสงเข้า (ซ้าย) ปิดม่านหมดให้ห้องมืด (กลาง) และเปิดไฟฟลูออเรสเซน จะเห็นได้ชัดว่า WB ภายใต้แสงไฟทำได้ดีขึ้น สีตรงสวยขึ้นกว่าเดิม ตรงนี้ชอบมากครับ เหมาะกับการถ่ายใน Indoor ที่ใช้แสงไฟเป็นจุดกำเนิดแสงโดยที่ไม่ต้องกังวลว่า WB จะเพี้ยน

    Background Defocus อันนี้เป็นแอปของ Sony ที่ไม่ได้ติดตั้งมากับตัวเครื่องตังแต่แรก แต่หลังๆกระแสหน้าชัดหลังเบลอมาแรงผมจึงไม่พลาดที่จะโหลดมาเทสหน่อย ก็พบว่ามันทำงานได้เร็วขึ้นมาก!!! คือปกติแอปจะใช้การถ่าย 2 จังหวะแล้วมาเทียบจุดโฟกัสกันเพื่อเบลอ ซึ่งตอนก่อนมันจะดีเลหน่อยๆเวลาใช้ แต่คงเพราะอานิสงส์ของ Motion Eye ทำให้เวลากดใช้มันแบบ 2 ช็อตและประมวลผลเสร็จเลย ไวมากนับเป็นอีกหนึ่งข้อดี แต่โซนี่ไม่ยอมติดตั้งมาในแอปกล้องของเครื่องแล้ว สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่เลยครับ Play Store

    AR Effect ยังคงลูกเล่นตามเดิม สามารถโหลดลูกเล่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น Space, Fairy tale, Japan etc. มาลงเล่นได้ แต่จากการใช้งาน ยังใช้งานนานๆไม่ได้เนื่องจากทำกล้องร้อนเร็วมาก และส่วนมากก็ซัพพอร์ตลูกเล่นในกล้องหน้าด้วย อันนี้ก็นับเป็นฟีเจอร์สนุกๆอีกอันนึงที่คนใช้ Xperia ห้ามพลาด

    อันนี้จะเป็นตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากเครื่อง Xperia XZs นะครับ โดยจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ถ่ายช่วงกลางวัน, กลางคืน และการใช้กล้องหน้าเซลฟี่ที่สภาพแสงต่างๆ

Day

Night

Selfie

    การถ่ายวีดีโอยังรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 4K ส่วนคลิปทั่วไปก็รองรับความละเอียดที่ Full HD, HD ที่ 30-60fps เช่นเดิม ส่วนฟีเจอร์กันสั่น SteadyShot™ with Intelligent Active Mode (5-axis stablization) ยังมีเช่นเดิม ช่วยให้การถ่ายวีดีโอยังนิ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของมือถือ Xperia ที่ถ่ายวีดีโอได้นิ่งกว่าค่ายอื่นๆ ส่วนกันสั่น 5 แกนยังใช้ได้แค่ในโหมด Macro เท่านั้นเหมือนเดิม

Test with steadyshot with intelligent active mode

    สำหรับการบันทึกวีดีโอ เราได้ลองอัดที่อุณภูมิทั่วไปในบ้านที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเวลาบ่ายกว่าๆ (กำลังร้อนได้ที่) ก็พอว่าบันทึกได้ที่ 10 นาทีขึ้นไป โดยประมาณ 14 นาทีก็จะขึ้นแจ้งเตือนว่ามีการปิดฟังก์ชั่นบางอย่างเช่น Object tracking เพื่อลดการประมวลผลของกล้อง(เพราะเริ่มร้อน) เมื่อลองสัมผัสที่ด้านหลังเครื่องบริเวณเซ็นเซอร์กล้องก็พบว่าร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และลองปล่อยให้เครื่องบันทึกไปเรื่อยๆจนถึง 28 นาทีก็ยังไม่มีอาการแอปปิดตัวเอง นับว่าทำได้ดีขึ้นในเรื่องระยะเวลาการบันทึกวีดีโอ

    อีกจุดเด่นเลยก็คือการทำ Clear Image Zoom หรือก็คือ Digital Zoom ดีๆนี่แหละ แต่ Sony การันตีว่าสามารถซูมถ่ายภาพได้โดยไม่เสียรายละเอียดในการซูม โดยสามารถซูมได้ถึง 5 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียด ซึ่งจากการลองถ่ายแล้วก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Clear Image Zoom ที่เก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ โดยทุกภาพที่ถ่ายมาไม่ว่าจะที่ 3X Zoom หรือ 5X Zoom ก็จะได้ไฟล์ภาพที่เต็มความละเอียดตามที่ตั้งไว้

    กล้องนับว่าเป็นการอัพเกรดไปอีกขั้นของ Xperia เพราะการเพิ่มขนาดพิกเซลให้เพิ่มขึ้นทำให้สามารถถ่ายรูปตอนกลางคืนได้ดีขึ้นมาก Motion Eye ทำให้สามารถบันทึกภาพได้ไวขึ้นเพราะการเพิ่มชั้น DRAM เข้ามาในเซ็นเซอร์ ทำให้สามารถถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วๆได้โดยไม่มีการเบลอหรือบิดเบี้ยว รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ๆขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น Predictive Capture ที่จะช่วยให้เราไม่พลาดช็อตสำคัญๆและ Super-slow motion 960fps ที่ช่วยให้สามารถถ่ายสโลว์โมชั่นได้ช้ากว่าเดิม ช่วยให้ได้ภาพมุมมองใหม่ ทำให้การบันทึกวีดีโอของเรามีลูกเล่นมากขึ้นกว่าเดิม

    Xperia XZs มาพร้อมกับ Android 7.1 Nougat โดย UI ยังคงรูปแบบเดิมคล้าย Pure Google แต่ถูกครอบด้วยธีมของ Xperia โดยรวมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากแต่ก็ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามาอย่าง Smart STAMINA และ Xperia Actions เข้ามา

    หน้าจอ Lock Screen ได้เปลี่ยนใหม่เป็นแค่การสไลด์ธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไร แต่เพิ่ม Widget Clock ตัวใหม่ที่ดูสวยงามมากขึ้น หน้า Home Screen ยังเป็นรูปแบบเดิม สามารถกดค้างเพื่อจัดการเพิ่ม/ลบหน้าหรือเพิ่ม Widget การตั้งค่าต่างๆ ของ Home Screen สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากส่วนนี้ สามารถตั้งค่าให้เลื่อนซ้ายสุดเป็น Google Now ได้

    App drawer จะคงรูปแบบไอคอนที่ 4×5 ปัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนหน้าแอพ  Search app จะอยู่ด้านบน ด้านซ้ายสุดจะเป็นส่วนของการค้นหาแอปและแนะนำแอปที่เราน่าจะใช้ สามารถลากแอปมารวมกันเป็นโฟลเตอร์เพื่อง่ายต่อการค้นหาใช้งานได้ นอกจากนี้เวลาที่เราเสียบสาย USB Type-C กับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากโหมด Charging only, Transfer files(MTP) และ MDI แล้วยังเพิ่มเมนูใหม่คือ Power supply สำหรับให้มือถือเราเป็นตัวจ่ายไฟให้อุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย

    Contact และโทรศัพท์ยังคงรูปแบบเดิมไว้ สามารถ Sync รายชื่อจากบัญชี Gmail ของเราลงมาได้ สามารถเพิ่มชื่อ หรือมาร์ค Favorites คนที่โทรหาบ่อยหรือจะตั้งกลุ่มรายชื่อ Messages สามารถเลือกส่งเป็นกลุ่มได้สะดวกขึ้น ส่วนคีย์บอร์ดในเครื่องจะเป็นแอป Swiftkey โดยมีข้อดีที่ปรับขนาดคีย์บอร์ดได้, แถบเดาคำ และจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากที่เราพิมพ์และคอยแก้ไขให้ถูกต้องตลอด, สามารถ Cut หรือ Copy คำที่เราใช้งานบ่อยปักหมุดไว้ได้ด้วย สะดวกไม่ต้องคอยพิมพ์ซ้ำ และสามารถเปลี่ยนธีมคีย์บอร์ดได้ด้วย แอป Email สามารถ Sync อีเมล์ต่าง ๆ ได้แถบ Notification ยังคงรูปแบบคล้ายเดิม สามารถเลือนลงมาอีกครั้งเพิ่งเข้าสู้หน้า Quick Setting ได้

    Clock ยังคงรูปแบบเดิม สามารถดูเวลาตามโซน ตั้งปลุก Calander ได้เพิ่มลายกราฟิกสวย ๆ และไฮไลท์วันสำคัญและคิวนัดต่าง ๆ ในแต่ละเดือน ดูสวยงามกว่าเดิม Weather อิงข้อมูลจาก AccuWeather.com มาพร้อมหน้าตา UI ที่สวยงาม และ Calculator ได้เพิ่มฟังก์ชั่นวิทยาศาสตร์เข้ามา

    Music การใช้งานยังคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนฉากหลังหน้า Player ให้เป็นการละลายปกอัลบั้มแทนการใช้สีแบบเดิม สามารถเลือนนิ้วจากมุมซ้ายเพื่อเข้าสู่เมนูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Play queue, Albums, Song, Playlist หรือ Setting โดยสามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลเพลงผ่าน Download Music info ได้ ในส่วนของ Audio Settings จะเป็นการเลือกเปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น DSEE HX, ClearAudio+, Dynamic normaliser, S-Force Front Surround ในส่วนของ Sound Effect สามารถเลือกตั้งค่า Equalizer หรือเลือกระบบเสียงต่าง ๆ ของหูฟังได้ ในส่วนของ Accessory จะเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น Noise cancelling, LDAC, Mic sensitivity และสามารถตั้งค่า Sleep timer ได้แล้ว

    Album ยังคล้ายเดิมอยู่ โดยสามารถเลือกดูภาพโดยรวมหรือแยกดูแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้ การเลือกดูรูปหลายรูปหรือทีละ 3 รูป 2 รูปในหนึ่งแถวทำได้ง่ายเพียงแค่ลากนิ้วกางเข้า/ออก หรือสามารถเลือกดูภาพแบบ Slideshow ก็ได้ รองรับการแชร์ภาพกับ Facebook, Picasa และ Flickr รองรับฟีเจอร์ Home Network และแอปติดเครื่องอย่าง Photo Editior อีกแอปติดเครื่องที่เราอาจลืมกันไป สามารถปรับแต่งรูปได้มากกว่าเดิม มีการใส่ Filter หรือลูกเล่นต่างๆเพิ่มเข้ามา การแก้ไขรูป Crop, Flip, Rotate สามารถทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถใส่เอฟเฟคต่างๆได้และทำ Collect ได้ด้วย

    Video สามารถตั้งค่าให้เล่นแบบ Background playback และเปิด Subtitle ได้ และได้เพิ่ม Home Network เข้ามาในแอปเลย ด้านการตัดต่อวีดีโอยังมาพร้อมกับแอป Movie Creator เพื่อสามารถสร้างวีดีโอสไลด์ภาพเก๋ๆ โชว์เพื่อนก็ได้ ผมชอบฟังก์ชั่นที่มันจะจับภาพทุก 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือนมาทำวีดีโอให้เราได้ดู

    PS4 remote play เป็นแอพที่ซิงค์ข้อมูลเกี่ยวกับ PlayStation Network ของผู้ใช้ไว้บนมือถือ ซึ่งจะรวมรวมการแจ้งเตือนต่างๆ สามารถส่งข้อความคุยกับเพื่อนชวนเล่นเกมได้ มีหน้า Trophies สำหรับโชว์รางวัลที่เราเก็บสะสมไว้ในการเล่นเกมต่างๆ โดยมี Store ในการซื้อเกมส่วนตัวของโซนี่ด้วย นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ซึ่งก็คือการสตรีมภาพเกมจาก PlayStation 4 มาเล่นบนมือถือได้ด้วย หรือจะใช้มือถือในการพิมพ์ข้อความแทนการใช้จอยก็ได้

    Settings ถูกปรับให้หลาย ๆ เมนูที่เคยอยู่ในหมวดออกมาอยู่ด้านหน้าเลย เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง และเพิ่มกราฟฟิกสวย ๆ ขึ้นมาในแต่ละเมนูเพื่อสื่อให้เราเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น สามารถตั้งค่า Notification ได้ละเอียดกว่าเดิมชนิดที่ว่าเลือกไปตั้งค่าแต่ละแอปกันได้เลย

    การเลือกโหมดแสดงผลของหน้าจอที่จะมีรูปและคลิปเปรียบเทียบให้ดูกันไปเลยว่า X-Reality for mobile หรือ Super-vivid mode ระหว่างเปิดกับปิดให้ภาพต่างกันยังไง Smart backlight control ที่จะคอยจับความเคลื่อนไหวของสายตาผู้ใช้ เพื่อไม่ให้หน้าจอดับแม้จะไม่มีการสัมผัสหน้าจอนั่นเอง สามารถตั้งค่า Text และ Display size โดยจะมีตัวอย่างให้ดูระหว่างการตั้งค่าเลย

   Smart cleaner ที่จะเพิ่มความฉลาดในการจัดการแรม โดยจะช่วยปิดโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้นาน และกำจัดไฟล์ขยะและ cache ต่าง ๆ โดยมีฟังก์ชั่นใหม่เพิ่มเข้ามาอย่าง Transfer data  ที่สามารถเลือกได้ว่าจะย้ายข้อมูลแบบไหนไปเก็บบน SD Card และ Choose items to remove ที่มันจะคอยสอดส่องว่าข้อมูลไหนที่เราไม่ได้ใช้มานานเกิน 30 หรือ  90 วันแล้วและจัดการให้ Screen pinning หรือการล็อกหน้าจอไว้ที่แอพนั้นเพียงแอพเดียวเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

    Battery ยังคงมาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA Mode เช่นเคย โดยมีทั้งแบบธรรมดาและ Ultra STAMINA mode สำหรับการประหยัดแบตสุดขีดอีกด้วย แต่มันจะตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างทำให้เราเหมือนแค่ใช้โทรศัพท์โทรเข้าออกได้เฉย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก STAMINA Level ได้ด้วย โดยมีทั้งหมด 3 ระดับด้วยกันคือ

  • Battery time preferred จะปิดการทำงานเกือบทุกอย่าง คล้าย ๆ กับ Ultra STAMINA Mode แต่จะยืดแบตได้ยาวนานที่สุด
  • Balanced power saving จะทำการปิดแค่บางฟีเจอร์เท่านั้น แต่ยังใช้งานโดยรวมทั่วไปได้ปกติอยู่ อาจลดความแรงของเครื่องลงนิดหน่อย
  • Device performance preferred จะปิดการทำงานแค่บางฟังก์ชั่นเท่านั้น แต่จะประหยัดแบตน้อยสุดใน 3 ระดับที่เกริ่นมา

    Smart Stamina จะจัดสรรพลังงานของคุณให้ล่วงหน้า ทำให้สามารถบริหารจัดการแบตเตอรี่ให้อยู่ได้ทั้งวัน และได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาคือ Qnovo Adaptive Charging โดยสามรถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานโหมดนี้ได้ที่เมนู Battery Care ได้เลย โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยถนอมแบตในกรณีที่เราชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน มันจะไม่ชาร์จให้เต็ม 100% เลยแต่จะคงไว้ที่ 90% ก่อนแล้วพอถึงเวลาประจำที่เราใกล้ตื่นจึงจะชาร์จให้เต็ม 100%

    Assist ที่ปรับปรุง UI ให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น โดยจะรวมเมนูต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นใช้งานเครื่อง (Introduction to Xperia) หรือเทคนิคการใช้งานต่างๆ (Xperia Tips) และโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Xperia Actions

    Xperia Actions ซึ่งช่วยปรับแต่งค่าการทำงานของสมาร์ทโฟนให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ เพื่อให้คุณใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานให้เข้ากับชีวิตเราได้มากยิ่งขึ้น โดยจะแบ่งเป็นตอนต่างๆเช่นเรานอน, ทำงาน หรือเวลาเรานั่งเครื่อง ช่วยให้สามารถใช้งาน Xperia ในสถานการณ์ต่างๆโดยที่ไม่ต้องคอยมาตั้งค่าตลอดเวลา

    Xperia XZs จะเรียกว่าเป็นเรือธงตัวใหม่ก็คงเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมี Xperia XZ Premium ค้ำคออยู่ แต่ถ้าเรียกเป็น Xperia XZ ที่ตีบวกเพิ่มแรมเป็น 4GB อัพเกรดกล้องใหม่ก็คงไม่ผิดนัก เนื่องจากสเปคส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นชิพประมวลผลที่ยังใช้ Snapdragon 820 ตัวเดียวกับใน Xperia XZ อยู่ซึ่งมันตกรุ่นใหม่ ก็อาจใช่เพราะค่ายอื่นที่ยังไม่ใช้ Snapdragon 835 ก็เริ่มหันมาใช้ Snapdragon 821 กันแล้ว

    แต่จุดเด่นจริงๆของรุ่นนี้เลยคือกล้อง Motion Eye ตัวใหม่ ซึ่งเป็นอะไรที่ดีเยี่ยมกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกข้อมูลได้เร็วกว่าเดิมเพราะฝัง DRAM ไว้ในเซ็นเซอร์กล้องทำให้บันทึกภาพได้ไวกว่าเดิม ถ่ายกันรัวๆได้เลย และช่วยลดอาการบิดเบี้ยวของวัตถุเวลาถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วๆ และด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆอย่าง Predictive Capture และ Super-slow motion 960fps ทำให้เพิ่มมุมมองการถ่ายภาพใหม่ๆได้กว่าที่คิด

    นับว่าเป็นการอัพเกรดเล็กน้อยสำหรับรองเรือธงอย่าง Xperia XZs ที่เปิดตัวต้นปีนี้ สำหรับคนที่ถือ Xperia XZ อยู่อาจจะยังไม่น่าสนที่จะเปลี่ยนเท่าไรเพราะถือเป็นการอัพเกรดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น โดยรวมการใช้งานยังไม่ต่างจาก Xperia XZ เท่าไร นอกจากกล้องที่พัฒนาขึ้น แต่ถ้าใครที่ยังใช้รุ่นเก่าอย่าง Xperia Z5 Series หรือรุ่นอื่นที่กำลังเล็งมือถือใหม่ๆ แต่ขี้เกียจรอ Xperia XZ Premium ที่จอใหญ่กว่า Xperia XZs ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจด้วยระดับราคาที่เปิดตัวต่ำกว่าเดิมที่ 21,990 บาท โดยสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้เพื่อนๆตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกมือถือเครื่องต่อไป เจอกันใหม่ในรีวิวหน้า Xperia XA1 ตัวเล็ก อัพสเปคเทียบรุ่นใหญ่ ในราคาแค่ 8,490 บาทเท่านั้น จะมีอะไรน่าสนใจบ้างในรุ่นนี้รอชมได้เลยครับ 🙂

   และสำหรับท่านที่กำลังมองหาอุปกรณ์เสริมสำหรับ Xperia XZs สามารถเลือกชมได้ที่ เคส Xperia XZs

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่