หลังจากที่ Sony Mobile ได้ปล่อย Xperia XZ Premium ออกมาซึ่งชูโรงด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 835 เป็นรุ่นแรกของแบรนด์และรุ่นแรกๆของโลก เมื่อมาถึงช่วงปลายปี ก็ได้เวลาอัพเกรดรุ่นกลาง…. ไม่สิ ต้องเรียกว่าเรือธงชายกลาง ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับรุ่นพี่จอใหญ่ โดยครั้งนี้มาในชื่อ Xperia XZ1 ซึ่งเป็นการเริ่มนับหนึ่งให้กับซีรีย์ XZ ตัวเครื่องมาพร้อมกับสเปคที่ได้รับการอัพเกรดให้เทียบเท่ารุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบ HDR หรือกล้อง Motion Eye ตัวใหม่ นอกจากนั้นยังเปลี่ยนดีไซน์และวัสดุตัวเครื่องให้เป็นอะลูมิเนียมเพื่อเสริมความแข็งแรงให้มากขึ้นอีกด้วย

    กล่องที่บรรจุยังคงใช้กล่องขนาดพอดีกับตัวเครื่องเหมือนเช่นเคย ตัวกล่องมีความแข็งแรงพอสมควร (ไม่โดนทับแล้วยุบง่ายๆ) ภายในถูกพิมพ์ด้วยลวดลายที่เรียกว่า Xperia Loop ซึ่งเป็น Live wallpaper หลักของรุ่นนี้ โดยอุปกรณ์ในกล่องจะมีเพียงอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ได้แก่ หูฟัง, สาย USB Type-C และอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ

    ดีไซน์ของตัวเครื่องยังคงคอนเซ็ป Omnibalance และ Loop Surface เอาไว้เช่นเคย Xperia XZ1 มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียด Full HD 1080p ที่รองรับเทคโนโลยี HDR เช่นเดียวกับรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนอย่าง Xperia XZ Premium โดยสิ่งที่หลายคน (มีทั้งชอบและไม่ชอบ) อย่างขอบล่างขอบบนที่ค่อนข้างหนาก็ยังคงมีีให้เห็นอยู่เช่นเดิม แต่ด้วยหน้าจอที่มีขนาด 5.2 นิ้วทำให้ตัวสมาร์ทโฟนไม่ใหญ่มาก สามารถหยิบจับเล่นมือเดียวได้สะดวก เพียงแค่อาจจะขัดกับเทรนด์สมัยนี้ที่เริ่มปรับเปลี่ยนไปดีไซน์มือถือที่ขอบจอน้อยๆแล้วเท่านั้นเอง โดยเครื่องที่เราได้มารีวิวกันในวันนี้เป็นสีสีน้ำเงินแสงจันทร์ (Moonlit Blue)

    ด้านหน้ามาพร้อมกับลำโพงคู่ S-Force Front Surround โดยจากที่ลองฟังแล้วพบว่าเสียงดังชัดกว่าเดิม อิมแพคเสียงที่ได้ยังไม่มากนัก แต่น่าจะถูกใจใครหลายคนที่ชอบเปิดเพลงฟังนอกสถานที่ ด้านบนซ้ายสุดจะเป็นไฟแจ้งเตือน ถัดมาเป็นกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS™ ทางด้านขวาของลำโพงสนทนา คือ เซ็นเซอร์วัดแสงสำหรับระบบปรับแสงหน้าจออัตโนมัติและเซ็นเซอร์ proximity ส่วนด้านล่างนั้นเป็นลำโพงตัวที่สอง

    วัสดุด้านข้างตัวเครื่องได้เปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียมเป็นชิ้นเดียวกับฝาหลังแล้ว ซึ่งนอกจากจะทำให้ตัวเครื่องบางลงแล้ว ยังช่วยให้สามารถทนต่อการบิดงอมากขึ้นอีกด้วย ปุ่มเพิ่มลดเสียงได้ถูกย้ายมาอยู่ด้านบนของปุ่ม Power เช่นเดียวกับ Xperia XZ Premium เพื่อให้สามารถกดได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าคลำๆแล้วจะไปกดเข้ากล้องถ่ายรูปแทน ถัดมาเป็นปุ่ม Power ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถใช้เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปในตัว ส่วนปุ่มชัตเตอร์ด้านล่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Xperia ก็ยังมีให้ใช้เช่นเดิม โดยสามารถกดค้างเพื่อใช้ฟีเจอร์ Quick Capture เข้าสู่แอพกล้องและจับภาพในเสี้ยววินาที เพื่อนๆสามารถหยิบขึ้นมาถ่ายภาพได้ในเวลาเพียง 0.5 วินาทีเท่านั้น ทำให้เราไม่พลาดช็อตสำคัญ

    อีกด้านหนึ่งจะเป็นช่องใส่ Micro SD Card โดยรองรับ micro SDXC ความจุได้สูงสุด 256GB และ SIM card โดยถ้าสังเกตจะเห็นว่าทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของ Xperia XZ1 จะมีขีดสีจางๆอยู่ ที่จริงแล้วมันคือตัวรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพราะว่าสัญญาณไม่สามารถผ่านฝาหลังที่่เป็นอะลูมิเนียมได้

    ช่องใส่ SIM จะเป็นแบบ Nano SIM โดยเครื่องศูนย์ไทยจะเป็นรุ่น Dual ซึ่งถาดใส่ SIM2 เป็นแบบ Hybrid slot คือจะต้องเลือกว่าจะใส่ Micro SD Card หรือจะเลือกใส่ SIM2 เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยถาด SIM1 นั้นได้แยกออกมาจากฝาปิดพอร์ท ทำให้ตอนถอดเปลี่ยนอาจต้องรักษาดีๆนิดนึงเพราะมันเล็กและสามารถหายได้ง่าย

    ด้านล่างจะประกอบไปด้วยพอร์ต USB 3.1 Gen 1 ซึ่ง เร็วกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่า ด้วยความเร็วในการถ่ายโอนสุงสุดถึง 5Gbps เป็นซ็อคเก็ตแบบ USB Type-C™ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม ส่วนรูเล็กๆทางด้านซ้ายคือตำแหน่งไมโครโฟนสนทนา

    มาดูด้านบนกันบ้าง รูเล็กๆตรงกลางจะเป็นตำแหน่งไมค์ตัวที่สองใช้สำหรับอัดเสียงแบบ Stereo และใช้ตัดเสียงรบกวนด้วยในตัว ถัดไปเป็นช่องหูฟัง 3.5 มม.โดยคราวนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี AHO ที่จะวิเคราะห์รูปแบบหูฟังของเราและปรับสมดุลความถี่เพื่อกระจายสัญญาณเสียงที่เหมาะสม นอกจากนั้นการอัดเสียงผ่านหูฟังเช่น MDR-NC750 สามารถใช้ระบบ Binaural Recording เพื่อให้เสียงที่ได้มีความสมจริงและชัดเจนกว่าเก่า ชมคลิปเทียบความแตกต่างได้ ที่นี่

    ด้านหลังจะกลับมาใช้เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ใช่วัสดุ ALKALEIDO แบบที่ใช้ใน Xperia XZ แล้ว โดยจะมาใช้อะลูมิเนียมพับขึ้นเป็นขอบโทรศัพท์แทน ทำให้ขอบข้างและฝาหลังเป็นชิ้นเดียวกัน ประกบบนล่างด้วยโพลีคาบอเนต (ผมชอบฝาหลังแบบอะลูมากกว่ากระจกนะ เย็นๆมือดี) และอีกข้อดีของการใช้อะลูมิเนียมทำฝาหลังคือแทบไม่เห็นรอยนิ้วมือเลย

    ด้วยตัวเครื่องที่บางลงทำให้ ทำให้ตรงกล้องนูนออกมาประมาณหนึ่งมิลลิเมตร เพราะขนาดโมดูลกล้อง Motion Eye ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (เช่นเดียวกับ Xperia XZs)

    ตัวเครื่องความรู้สึกแรกที่สัมผัส มันให้อารมณ์ความบางและมนจนสามารถถือแบบกำตัวโทรศัพท์ได้อย่างสบายมือแบบ Xperia Z3 อีกครั้ง โดยความบางของ Xperia XZ1 นั้นจะอยู่ที่ 7.4 มิลลิเมตรเท่านั้น (Xperia XZ Premium ความบางอยู่ที่ 7.9 มิลลิเมตร และ Xperia XZs อยู่ที่ 8.1 มิลลิเมตร)

ซึ่งความบางนี้ทำให้สามารถถือใช้งานได้อย่างสะดวกและการที่ทำให้ฝาหลังและขอบข้างเป็นชิ้นเดียวกันทำให้เวลาหยิบจับเล่นรู้สึกถึงความมนไม่มีส่วนไหนมากดฝ่ามือมือตอนถือเล่น

   ตำแหน่งการวางเซ็นเซอร์กล้องต่างๆก็ได้เปลี่ยนไปอยู่แนวนอนด้านบนแทนเช่นเดียวกับ Xperia XZ Premium โดยได้ขยายพื้นที่ส่วนกระจกเพื่อเพิ่มเซ็นเซอร์ NFC มาอยู่ด้านหลังแบบเดิมแล้ว เพราะที่ฝาหลังเป็นโลหะต้องย้ายตำแหน่งไปไว้ด้านหน้าเพราะสัญญาณไม่สามารถทะลุโลหะออกมาได้ ทำให้รุ่นก่อนๆ SONY ต้องย้าย NFC ไปไว้บริเวณไฟ Notification ด้านหน้าซึ่งมันใช้งานยาก

มันทำให้เราสามารถแตะเพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆได้ง่าย ไม่ต้องหันหน้าจอเข้าไปแตะแบบตอน Xperia XZ หรือ XZs

    สเปคของ Xperia XZ1 นั้น ถ้าเทียบกับ Xperia XZ Premium ก็ยังถือว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก เรียกว่าอัพเกรดมาให้เท่าเทียมกับรุ่นพี่ดีกว่า หรือถ้าจะพูดง่ายๆ มันคือ Xperia XZ Premium ในร่างจอ Full HD ที่เล็กลงมานั่นเอง ไม่ใช่ 4K  แต่!!! อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะไม่มีอะไรใหม่ เพราะก็ยังมีบางฟีเจอร์ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในการเปิดตัวครั้งนี้ เราไปดูกันดีกว่าว่าได้เพิ่มอะไรขึ้นมาบ้าง

Specification

  • หน้าจอ Full-HD 1080p แบบ HDR ช่วงให้ไดนามิกของสีที่ดีขึ้นกว่าเก่า มาพร้อมกับเทคโนโลยีช่วยปรับสีการแสดงผลให้สมจริงยิ่งขึ้นอย่าง Triluminos Display, X-Reality Engine รองรับเฉดสีที่ sRGB138% ใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่แข็งแรงกว่าเดิม
  • ประมวลผลด้วย Snapdragon 835 64-bit with Adreno 540 มาพร้อม Android 7.1 (ไวกว่า 820 ถึง 50% ประหยัดพลังงานกว่าเดิม 25%)
  • RAM 4GB พื้นที่หน่วยความจำภายใน 64GB แบบ UFS โดยมี read speed อยู่ที่ 1.5 Gbps อ่านข้อมูลไวกว่าเดิม 3 เท่า สามารถเพิ่มหน่วยความจำด้วย microSDXC ได้อีก 256GB
  • กล้องหลังความละเอียด 19MP Exmor RS, hybrid AF, 960fps Super slow motion, 4K video recorder [Motion Eye Sensor]
  • กล้องหน้าความละเอียด 13MP Exmor RS, f/2.0, 22mm เป็นเลนส์แบบ wide
  • รองรับ Wi-Fi 802.11ac, Bluetooth 5.0, NFC, USB 3.1 Type-C, A-GNSS (GPS + GLONASS), LTE (4G) Cat16 with Gigabit-class speeds
  • แบตเตอรี่ 2700 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0 มาพร้อมเทคโนโลยียืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ Qnovo Adaptive Charging และโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA Mode
  • ด้านเสียงรองรับ Hi-Res Audio, DSEE HX, LDAC, Clear Audio+, Stereo Recording และเทคโนโลยี Digital Noise Cancelling
  • มาตรฐานการกันน้ำ/กันฝุ่นอยู่ที่ IP65/68
  • รองรับการสแกนลายนิ้วมือ
  • ขนาดของตัวเครื่อง 148 x 73 x 7.4 mm หนัก 156 g
  • มี 4 สีให้เลือกคือ น้ำเงิน (Moonlit Blue), ดำ (Black), เงิน (Warm Silver) และ ชมพู (Venus Pink)

    หน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด Full-HD 1080p ได้รับการอัพเกรดให้รองรับ HDR ทำให้สามารถแสดงสีที่ dynamic range ได้ละเอียดกว่าเดิมเช่นเดียวกับรุ่นพี่อย่าง Xperia XZ Premium โดยยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Triluminos Display for mobile เช่นเคย และยังมีฟีเจอร์การจัดการสีอย่าง X-Reality for Mobile และ Dynamic Contrast Enhancer ช่วยปรับปรุงการแสดงผลบนหน้าจอให้มีความสมจริงมากยิ่งขึ้น

    HDR จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผล ช่วยให้มีการไล่เฉดสี และไล่ระดับความสว่าง ความมืด ได้ดีกว่าจอภาพโดยทั่วไป ทั้งยังช่วยปรับปรุงคอนทราสต์ รายละเอียดภาพ และสีสันที่ดีขึ้นนั่นเอง (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ HDR ได้ที่นี่) หลังๆเริ่มมีผู้ให้บริการวีดิโอสตรีมมิ่งแบบ HDR ให้เลือกชมกันมากยิ่งขึ้นแล้ว อย่างใน Xperia XZ1 นั้นรองรับการรับชมซีรี่ย์แบบ HDR ผ่าน Amazon prime video (ยังไม่มีให้บริการในไทย) ได้เลย

    จอภาพนั้นรองรับการแสดงสเปกตรัมของสีได้ที่ sRGB 138% และยังสามารถเปิดโหมดแสดงภาพ Professional mode เพื่อให้จอแสดงสีที่สมจริงที่สุด ช่วยให้สามารถใช้ทำงานแต่งภาพได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าสีจากจอจะหลอกตาจนเกินไป

ทางด้านเสียงยังรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) เหมือนเคย โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี LDAC ของ Sony ที่จะช่วยให้เล่นเพลงแบบไร้สาย (Wireless) ผ่าน Bluetooth ได้ด้วยความละเอียดสูงสุด 24bit/96kHz หรือก็คือไม่สูญเสียรายละเอียดเลย (แต่ตัวหูฟังก็ต้องรองรับ LDAC ด้วยนะ) และยังมีฟังก์ชั่น DSEE-HX ที่สามารถดึงความละเอียดของเสียงในไฟล์เพลงที่มีความละเอียดต่ำจากการถูกบีบอัด ให้คืนความละเอียดกลับมาชัดใกล้เคียงต้นฉบับ

การใช้งานฟังก์ชั่น Digital Noise Cancellation กับหูฟังที่รองรับยังคงมีอยู่ นอกนั้นจะเป็นฟีเจอร์เดิมๆ เช่น Clear Audio+, S-Force Front Surround,Stereo recording และ Dynamic normalizer ที่จะช่วยให้ได้ยินเสียงในทุกย่าน

ด้วยขุมกำลังของชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon™ 835 ประมวลผลแบบ 64-bit Octa-core นอกจากจะแรงขึ้นกว่าเดิม 50% แล้วยังประหยัดแบตกว่าเดิมถึง 25% ด้วย ประมวลผลกราฟิกด้วย GPU Adreno 540 สามารถรองรับเกมในตอนนี้ได้สบายๆ สามารถเปิดกราฟฟิคสูงสุดได้โดยไม่ต้องกลัวกระตุกเวลาเล่น การเพิ่มแรมเป็น 4GB ทำให้เราสามารถเล่นเกม ROV สลับกับตอบแชทแฟนใน Line ได้โดยที่ไม่กลัวว่าเมื่อเปลี่ยนแอปกลับมาแล้วต้องโหลดใหม่

จากที่ลองเล่นไปประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง โดยลองเล่นเกม ROV ปรับ High Framerate แล้วเปิดแสงจอที่ 80% พบว่าแบตลงลงไป 16% เท่านั้นเอง สำหรับใครที่ชอบเน้นเล่นเกมก็คงหมดห่วงได้ ส่วนอุณภูมิจากที่ดูก็จะเพิ่มขึ้นแค่ 5 องศาเซลเซียสเท่านั้น เรียกได้ว่าทั้งประหยัดแบตและสามารถจัดการกับความร้อนได้ดีเยี่ยม

    เนื่องจากมือถือโซนี่ยุคนี้ (ทั้งเรือธงและรุ่นล่างๆ) ได้เปลี่ยนมาใช้ USB Type-C แล้วทำให้สามารถใช้งาน Quick Charge 3.0 ได้ ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมในช่วง 0-80% และเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาในตระกูล X อย่าง Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยตรวจสอบและปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

    นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Battery Care ที่จะคอยเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าควรชาร์จไฟช่วงไหนถึงช่วงไหนเช่นเราชอบเสียบชาร์จไว้ทั้งคืนแล้วถอดออกตอนเช้ามันก็จะจำพฤติกรรมนี้ไว้แล้วจะชาร์จรอแค่ 90% พอใกล้ถึงเวลาที่เราจะถอดมันก็จะเติมให้ครบ 100% แต่อันนี้ยังมีข้อด้อยตรงช่วงกลางวันที่ผมอยากรีบชาร์จให้มันเต็มแล้วออกไปทำธุระจะพบว่ามันจะเริ่มช้าลงช่วง 90-100% นอกจากนี้ ด้วยความที่ตัวเครื่องใช้ USB Type-C จึงสามารถทำให้มือถือเป็น Powerbank จ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย

แบตเตอรี่นั้นรุ่นนี้ได้ลดลงมาจากเดิมเหลือเพียงแค่ 2700 mAh เท่านั้น ซึ่งหลายๆคนอาจมองว่าน้อยลงมาก เรือธงค่ายอื่นยังหลักสามกันแล้ว ตรงนี่้จากการใช้งานโดยรวมยังสามารถอยู่ได้ที่ 1 วันสบายๆ โดยผมลองใช้แบบเล่นเกมช่วงเช้าก่อนเริ่มงาน นอกจากนั้นก็เล่นโซเชียว ดู Youtube ฟังเพลงตอนเย็นๆสลับเล่นเกม กลับมาบ้านยังเหลือที่ประมาณ 30 – 40% ทำให้หมดห่วงเรื่องนี้ไปได้ว่า 2700 mAh จะอยู่ได้ถึงวันไหน ขอบอกว่าถึงแน่นอนครับ

มาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA Mode เช่นเคย โดยมีทั้งแบบธรรมดาและ Ultra STAMINA mode สำหรับการประหยัดแบตสุดขีดอีกด้วย แต่มันจะตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างทำให้เราเหมือนแค่ใช้โทรศัพท์โทรเข้าออกได้เฉย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก STAMINA Level ได้ด้วย โดยมีทั้งหมด 3 ระดับด้วยกันคือ

  • Battery time preferred จะปิดการทำงานเกือบทุกอย่าง คล้าย ๆ กับ Ultra STAMINA Mode แต่จะยืดแบตได้ยาวนานที่สุด
  • Balanced power saving จะทำการปิดแค่บางฟีเจอร์เท่านั้น แต่ยังใช้งานโดยรวมทั่วไปได้ปกติอยู่ อาจลดความแรงของเครื่องลงนิดหน่อย
  • Device performance preferred จะปิดการทำงานแค่บางฟังก์ชั่นเท่านั้น แต่จะประหยัดแบตน้อยสุดใน 3 ระดับที่เกริ่นมา

Smart Stamina จะจัดสรรพลังงานของคุณให้ล่วงหน้า ทำให้สามารถบริหารจัดการแบตเตอรี่ให้อยู่ได้ทั้งวัน นอกจากนี้ก็ยังมีระบบถนอมอายุการใช้งานแบตเตอรี่ Battery Care ที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วข้างบน (สามารถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานโหมดนี้ได้)

การกันน้ำยังคงรองรับที่มาตรฐาน IP65/IP68 เช่นเคย โดยทาง Sony ยังคงเน้นยำว่าไม่ควรนำไปลงแช่ในน้ำทะเลหรือน้ำที่มีสิ่งเจือปน พอร์ต Slot Micro SD Card ทำได้แน่นหนา ใครที่คิดจะเอาลงไปถ่ายเล่นใต้น้ำก็หมดห่วงเรื่องนี้ได้ แต่ทางที่ดีเอาไว้แค่กันอุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำดีที่สุดครับ อย่าถึงขั้นเอาลงไปจุ่มถ่ายใต้น้ำจะปลอดภัยที่สุด

การสแกนนิ้วที่ปุ่ม Power ยังทำได้ไวเหมือนเดิม สามารถใช้นิ้วที่สแกนลายนิ้วมือเก็บไว้กดปุ่มก็สามารถปลดล็อคเข้าเครื่องโดยแทบไม่มีหน่วงเลยทีเดียว แต่ก็มีข้อเสียเพราะว่ารุ่นใหม่ๆนั้น ไม่มีฟังก์ชั่น Tap to wake หรือเคาะสองทีจอติดเองแล้ว ทำให้บางครั้งอยากจะแค่เช็ค Notification เฉยๆ พอกดเปิดจอกลายเป็นปลดล็อคเข้าไปซะงั้น โดยรองรับการเก็บลายนิ้วมือทั้งหมด 5 ลายนิ้วมือด้วยกัน

กล้องใช้เซ็นเซอร์ IMX400 Exmor RS ขนาด 1/2.3 นิ้วเหมือนกับ Xperia XZ Premium มีความละเอียด19 ล้านพิกเซล แต่ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น  1.22μm (ใหญ่กว่าเซ็นเซอร์เดิม 19%) ทำให้รับแสงได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ถ่ายภาพในที่ๆแสงสว่างน้อยได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการออกแบบวงจรภายในใหม่ให้เหมือนกับ Xperia XZ Premium ทำให้หมดปัญหาถ่ายไปนานๆแล้วกล้องร้อนจนปิดตัวแล้ว สามารถถ่ายวีดีโอหรือเล่น AR Mode ได้นานขึ้น

Sony ได้ทำการปรับปรุงใหม่แก้ปัญหาขอบภาพเบลอที่หลายๆคนบ่นกันในรุ่นก่อนๆแล้ว BIONZ ก็ได้รับการยกเครื่องใหม่เช่นกัน โดยจะประมวลผลภาพได้ดีและเร็วกว่าเดิม และยังมีเทคโนโลยี Triple Image Sensing คือ 3 เซ็นเซอร์หลักที่่ช่วยสร้างสรรค์ภาพถ่ายให้ออกมาสวยที่สุดโดยรวมกล้องจะมีฟีเจอร์เหมือนกับ Xperia XZ Premium แต่ก็จะมีส่วนของ 3D Creator เพิ่มเข้ามา

โดยสามารถสรุปฟีเจอร์กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเดิมได้ดังนี้

  • CMOS Sensor ขนาด 1/2.3 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี Phase detection Auto Focus และ Predictive Hybrid Auto Focus ที่โฟกัสได้ไวกว่าเดิมและสามารถเดาการเคลื่อนที่ล่วงหน้าของวัตถุได้
  • ขนาดพิกเซลใหญ่ขึ้นเป็น 1.22μm หรือใหญ่กว่าเดิม 19% ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น  สามารถถ่ายภาพในที่สภาพแสงน้อยได้ดีกว่าเดิม และลด Noise ในภาพลง
  • เป็นกล้องตัวแรกที่ฝังหน่วยความจำลงบนเซ็นเซอร์ ช่วยให้ประมวลผลเร็วกว่าเดิม 5 เท่า จากที่ลองสามารถกดถ่ายรัวๆได้โดยไม่ต้องรอมันบันทึกภาพแล้ว
  • ด้วยอานิสงส์ของการฝัง DRAM ลงบนเซ็นเซอร์ ทำให้สามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆโดยไม่มีอาการบิดเบี้ยวของวัตถุแล้ว
  • เทคโนโลยี Motion Eye มาพร้อมกับฟีเจอร์ Predictive capture และ Super-slow motion 960fps
  • RGBC-IR สำหรับตรวจจับสีของภาพถ่ายให้ออกมาสมจริงที่สุด โดยมีการตรวจจับสี RGB ให้มีค่าใกล้เคียงรูปจริงที่ถ่ายได้ เพราะว่าสีบนโลกล้วนเกิดจากการผสม RGB ทั้งนั้น
  • Laser Auto Focus ช่วยให้สามารถตรวจจับจุดโฟกัสวัตถุได้แม่นยำขึ้น แม้จะเป็นในที่แสงน้อยก็ตาม

ในแอปกล้องจะมีด้วยกันทั้งหมด 4 โหมดด้วยกันคือ Manual, Superior Auto, Video และ Apps และโหมดถ่ายสโลโมชั่นเราสามารถเลือกได้จากหน้าเมนูของโหมดวีดีโอแล้วนะ ไม่ต้องเลื่อนไปหน้า Apps แล้วเลือกให้เสียเวลา รวมถึงการถ่ายวีดีโอแบบ 4K ที่ปกติจะเป็นแอปแยกออกไป ตอนนี้สามารถเลือกถ่ายได้จากเมนูกล้องวีดีโอได้เลย

Predictive Capture เป็นฟีเจอร์ที่จะทำการเก็บภาพก่อนที่เรากดชัตเตอร์ไว้ 3 ภาพ (แบบเต็มความละเอียด) โดยใน Xperia XZ1 สามารถที่จะเลือกปิดฟีเจอร์นี้ได้ แต่ไม่สามารถเปิดให้ทำงานทุกการกดชัตเตอร์ของเราได้ โดยโหมดนี้จะทำงานแบบอัตโนมัติ เมื่อมันพบว่ามีการเคลื่อนไหวของวัตถุในภาพ อย่างในภาพตัวอย่างผมอยากถ่ายวิว ๆ นี้ แต่มีรถวิ่งผ่านไปมาตลอด ทำให้ติดรถเข้ามาในภาพ แต่ผมก็สามารถเข้าไปเลือกใน Predicted Capture และเลือกรูปที่ถ่ายไว้ตอน Predicted 1 ก็ได้

ส่วนอีกฟีเจอร์ใหม่เลยที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Xperia XZ1 อย่าง 3D Creator ที่จะสามารถใช้กล้องมือถือนี่แหละ สแกนวัตถุต่างๆให้เป็นแบบ 3 มิติออกมา โดยสามารถใช้ได้ทั้งการสแกนคน, อาหาร หรือสิ่งของต่างๆก็ได้ นอกจากนั้นจุดเด่นของ 3D Creator คือสามารถนำภาพที่เราสแกนไปเล่นกับแอป 3rd Party ใส่ในไฟล์ GIF ล้อเลียนหนังหรือมาใช้ใน AR Camera หรือจะส่งเข้าเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อทำเป็นรูปปั้นตัวเราหรือสิ่งของที่เราสแกนได้เลยด้วย

โดยหลักการทำงานคร่าวๆคือจะให้เราแพนกล้องไปรอบๆวัตถุ และจะใช้ซอฟแวร์ในการกำหนดรูปทรงวัตถุขึ้นมา โดยอันนี้ผมไม่แน่ใจว่าใช้ประโยชน์จาก Laser focus เข้ามาช่วยประมวลผลด้วยหรือไม่ โดยจากที่ลองเล่นมาควรจะสแกนวัตถุที่ไม่มีพื้นหรือฉากหลังอยู่ใกล้ๆเพราะซอฟแวร์ยังจับได้ไม่แม่นยำนัก ถ้าสแกนคนก็ควรให้นั่งนิ่งๆตรงกลางห้อง ไม่ควรมีโต๊ะหรือวัตถุใดๆอยู่ด้านข้าง โดยเราต้องแพนมือถือไปรอบๆ 360 องศารอบวัตถุที่สแกน (แต่จะมีเส้นไกด์ให้ว่าเดินไปทางไหน ต้องยกมือถือจุดไหน) ซึ่งถ้าเราสแกนจุดนี้ไม่ดีจะส่งผลตอนที่เราสแกน Texture ในขั้นตอนถัดไป

เมื่อเราสแกนวัตถุเสร็จแล้วก็จะมาถึงขั้นตอนการใส่ Texture หรือพื้นผิวให้กับวัตถุกัน โดยเราก็ต้องแพนกล้องไปรอบๆอีกเหมือนเดิม โดยสีเขียวที่ปรากฏบนวัตถุคือส่วนที่เราได้ใส่ Texture ไปแล้ว ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่าผมยังสแกนตัวโมเดลได้ไม่ดีเท่าที่ควรเพราะว่าผมไปในช่วงเย็น มันจะมีจุดนึงที่ย้อนแสงและภาพจะมืดทำให้สแกนลักษณะวัตถุด้านนั้นไม่ได้

ส่วนการสแกนหน้าบุคคลนั้น ถ้าทำในห้องที่มีกำแพงสีโทนเดียวจะสามารถทำได้ง่ายขึ้น ควรหลีกเลี่ยงสถานที่แคบๆ เพราะจะทำให้เราเดินสแกนไม่สะดวก ตอนสแกนควรทิ้งระยะห่างจากตัวแบบให้เท่าๆกันเวลาแพนกล้อง

ส่วนการสแกนวัตถุนั้นควรจะหาโต๊ะที่มีพื้นขาว และเป็นวงกลมมาตั้งวัตถุจะดีที่สุด เพราะถ้าบนโต๊ะมีลวดลายแล้วกล้องจะจับยากว่าส่วนไหนคือวัตถุที่เราต้องการสแกนกันแน่

อันนี้จะเป็นตัวอย่างงานสแกน (ภาพกลางจะเป็นตัวอย่างจาก SONY) โดยยอมรับว่าโหมดนี้ยังเข้าถึงได้ยากและมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่การสแกนอยู่ แต่ถ้าลองใช้งานบ่อยๆและจับจุดได้ว่าควรวางงานแบบไหน ใช้พื้นที่แบบไหนในการสแกน คุณจะสนุกกับการทำโมเดล 3D กับสิ่งต่างๆรอบตัวแน่นอนครับ

เราสามารถใช้ภาพบุคคลมาเล่นกับแอปต่างๆได้เช่น AR Camera ซึ่งจะใช้ใบหน้าเราที่สแกนไปทำตัวการ์ตูนต่างๆ

เรายังสามารถเลือกตัวการ์ตูนนี้เข้ามาในซีนกล้องและเลือกท่าทางต่างๆได้อีกด้วย น่าจะสนุกเวลาทำไรฮาๆแชร์กับเพื่อน สามารถชมตัวอย่างการใช้งานที่คลิปด้านล่างได้เลยครับ

อีกหนึ่งข้อดีของการเพิ่มชั้น DRAM เข้ามาในเซ็นเซอร์กล้องนั้นทำให้แก้ปัญหา Distortion shutter หรือการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ ซึ่งปกติจะเกิดอาการบิดเบี้ยวหรือยืดของวัตถุเวลาถ่ายภาพจาก Electrical sensor โดยสามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆให้เหมือนหยุดนิ่งได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าวัตถุนั้นจะเสียรูปทรงอีกต่อไป

อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ใส่มาใน Xperia XZ1 นั้นคือ Burst shot หรือการถ่ายภาพรัวๆต่อเนื่องนั่นเอง หลายคนอาจสงสัยว่าต่างยังไงกับ Timeshift Burst ที่โซนี่เคยทำออกมา เพราะอันนั้นสามารถถ่ายรัวๆถึง 61 ภาพใน 3 วิินาที แต่โหมดนั้นถูกจำกัดด้วยความละเอียดภาพที่ได้เพียง 2MP และเวลากดถ่ายแต่ละทีเราไม่สามารถกดต่อเนื่องหลายๆครั้งได้ แต่ Burst shot นี้เราสามารถใช้งานโดยการกดปุ่ม Shutter ค้างไว้เพื่อถ่ายแบบรัวๆได้เลย และถ่ายได้เต็มความละเอียดที่เลืิอกด้วย!!!

เมื่อถ่ายเสร็จสามารถเลือกให้นำภาพที่เราถ่าย Burst shot มาทำ Animation ภาพเคลื่อนไหวเหมือน stop motion แชร์ให้เพื่อนๆดูได้อีกด้วย

   เราสามารถเลือกครีเอทภาพแบบกะจังหวะได้ง่ายกว่าเดิมเพราะเราสามารถเลือกกดปุ่มชัตเตอร์ค้างเพราะรัวเฉพาะจังหวะที่เราต้องการได้ โดยสามารถถ่ายรัวได้ถึง 100 ภาพต่อครั้งและรอสักพักก็สามารถถ่ายต่อได้อีก

    กล้องถ่ายภาพยังมาพร้อมกับโหมด Superior Auto เหมือนเดิม โดยโหมดนี้จะช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพได้สะดวกขึ้นไม่ต้องมาเซ็ตค่าต่างๆ สามารถแตะถ่ายได้เลย Laser focus ที่เพิ่มเข้ามาทำให้จับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ส่วน White Balance ในโหมดนี้ผมว่ายังออกโทนอมฟ้านิดๆ ภาพที่ได้ในที่แสงน้อยยังคงมีอาการเป็นวุ้นๆอยู่ กล้องยังสามารถปลดล็อคและถ่ายได้ภายใน 0.5 วินาทีด้วยการกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้เมื่อเครื่องอยู่ในสถานะ standby

ลองถ่ายภาพใน 3 สภาพแสง โดยเมื่อลองเช็คค่า White Balance ในสถานที่ๆมีแสงจากหลอดไฟมาเกี่ยวข้อง พบว่ากล้องสามารถเก็บสีต่างๆได้ดีขึ้น เนื่องจากเซ็นเซอร์ RGBC-IR ที่เพิ่มขึ้นมา สามารถถ่ายภาพในที่ Indoor ได้สะดวกขึ้นไม่ต้องกลััวว่าแสงไฟจากที่ต่างๆจะทำให้ค่า White balance เพี้ยนอีกต่อไป

แต่ผมว่าภาพที่ได้จากโหมด Superior Auto ใน Xperia XZ1 นี้นั้นมีการปรับลด Contrast และเพิ่ม Shadow ขึ้น ทำให้ภาพที่ได้นั้นส่วนที่เป็นเงามืดสามารถแสดงรายละเอียดดีขึ้นแต่ภาพขาดมิติลงจากเดิม

โหมด Manual Mode ให้ปรับค่าสปีดชัตเตอร์ได้ที่ 1/4000 ถึง 1 วินาที และสามารถปรับระยะโฟกัสได้ โดยมีระยะใกล้สุดที่ 12 ซม. นอกนั้นจะเป็นการปรับค่าชดเชยแสง EV ทำได้ระหว่าง +2 และ -2 สามารถปรับ ISO ได้ตั้งแต่ 50-3200 และสามารถปรับค่า ISO พร้อมกับ Speed shutter ได้แล้ว แต่ไม่สามารถเลือกอุณภูมิสีได้ในโหมด Manual  และไม่มีโหมด Scene (SCN) เหมือนเดิม

ตัวอย่างการใช้งานกล้อง การโฟกัส, Burst shot และ Manual mode

ตัวอย่างภาพถ่ายตอนกลางวัน (ทุกภาพถูกลดขนาดเหลือ 500KB)

ตัวอย่างภาพถ่ายตอนกลางคืน (ทุกภาพถูกลดขนาดเหลือ 500KB)

อีกหนึ่งปัญหาที่พบเจอกันใน Xperia XZ Premium อย่าง Lens distortion ที่เบี้ยวเป็นคลื่นนั้น ภายใน Xperia XZ1 ยังพบอยู่ครับ :'( โดยเมื่อเราถ่ายภาพจะสังเกตุเห็นความเบี้ยวของเส้นซึ่งจุดนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อถ่ายภาพที่มีเส้นตรงพาดผ่านในแนวนอน ซึ่งถ้าคนที่นำไปถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรม อาจจะมีหัวเสียกับอาการนี้กันแน่นอน ซึ่งอาการนี้ในปัจจุบันยังไม่มีซอฟแวร์ออกมาแก้ไข

โดยสามารถดูตัวอย่างการเบี้ยวของ Xperia XZ1 ได้จากภาพด้านบนครับ อันนี้ก็ต้องดูกันดีๆว่าซีเรียสกับปัญหานี้ไหม และรอดูว่า SONY จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรต่อไปครับ

*ตอนนี้ Sony ได้ปล่อยอัพเดทแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับรุ่นที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX400 ที่เจออาการเบี้ยวเป็นลูกคลื่น อ่านข่าวการปล่อยอัพเดทที่นี่ https://se-update.com/sony-fixes-camera-distortion-issue-on-latest-xperia-flagship/

สามารถซูมภาพแบบ Digital ได้ไกลสุด 8 เท่า โดย SONY การันตีไว้ว่าสามารถว่าสามารถถ่ายแบบ Clear Image Zoom ได้ 5 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียด ซึ่งอาจจะสงสัยว่ามันแตกต่างยังไงกับการถ่ายภาพแล้วมา corp เอาส่วนที่ต้องการทีหลัง เพราะว่าถ้าเรากดซูมก่อนถ่ายนั้นจะยังคงได้ภาพที่ความละเอียดได้เต็มตามที่ตั้งไว้นั่นเอง

สำหรับใครที่สงสัยว่าการถ่ายแบบ Super-slow motion 960fps นั้นหรือการถ่ายวีดีโอที่โหมดอื่นๆภาพที่เราถ่ายได้จะโดน crop ลงมาเท่าไร เราได้ลองทำภาพเปรียบเทียบที่การถ่ายวีดีโอในโหมดต่างๆให้ดูกันครับ

  • เส้นสีเหลือง – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (30fps) แบบธรรมดา ปิดตัวช่วยกันสั่น จะได้ภาพที่กว้างเต็มเลนส์พอดีเหมือนเราถ่ายภาพที่สเกล 16:9
  • เส้นสีน้ำเงิน –  บันทึกวีดีโอที่ HD 720p แบบ Slow motion 120fps
  • เส้นสีเขียว – บันทึกวีดีโอ 1080p (30fps) โดยเปิดโหมด SteadyShot (Standard, Intelligent active)
  • เส้นสีส้ม – บันทึกวีดีโอที่ Full-HD 1080p (60fps) โดยเปิด Steadyshot ถ้าปิดกันสั่นก็จะได้สเกลภาพเหมือนกับเส้นสีเขียว และบันทึกวีดีโอความละเอียด 4K
  • เส้นสีขาว – บันทึกวีดีโอที่ Super-slow motion 960fps

ตัวอย่างวีดีโอ 1080p เปิดการใช้งาน Steadyshot with intelligent active mode

ตัวอย่างวีดีโอ Super slowmotion 960fps

กล้องหน้ามาพร้อมกับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS™ ขนาด 1/ 3.06 นิ้ว F2.0 โดยเป็นเลนส์มุมกว้าง 22 มม. ทำให้สามารถถ่ายเซลฟี่ได้โดยที่ไม่ต้องยืนแขนไปไกลๆ หรือจะเซลฟี่หลายๆคนก็สะดวก รองรับ ISO ได้สูงสุดที่ 6400 ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ ส่วนการถ่ายวีดีโอจะรองรับ ISO สูงสุด 1600

เมนูกล้องหน้าทำออกมาให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น มีปุ่มตั้งเวลาถ่ายอยู่ด้านข้างปุ่มชัตเตอร์เลย โดยสามารถปัดนิ้วที่หน้าจอลงด้านล่าง เพื่อสลับเปลี่ยนกล้องหน้า / กล้องหลัง และยังมีโหมด Smile shutter ที่จะถ่ายเมื่อเรายิ้มและ Hand shutter ที่ให้เราชูมือขึ้นให้กล้องจับและกำเพื่อสั่งถ่ายภาพได้ โหมด Soft skin ที่ปรับให้ดูสมจริงกว่าเดิม ไม่ปรับเนียนจนดูหลอกตาจนเกินไป

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า (ทุกภาพถูกลดขนาดเหลือ 500KB)

AR Effect ยังมีลูกเล่นต่าง ๆ มากมายเช่นเคย สามารถโหลดลูกเล่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น Space, Fairy tale, Japan ฯลฯ โดยได้อานิสงส์จากการปรับปรุงการวางตำแหน่งวงจรภายในใหม่ ทำให้กล้องไม่ร้อนเกินไปทำให้สามารถถ่าย AR ได้นานกว่าเดิมแล้ว

PANORAMA ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ถ่ายได้เต็มความละเอียดมากขึ้นจากเดิมสามารถถ่าย wide เท่าไรก็ได้ โดยยิ่ง wide มากความละเอียดยิ่งมากตาม สามารถซูมดูภาพหลังถ่ายได้โดยที่ความละเอียดยังอยู่ครบ และ UI ของแอปยังปรับปรุงใหม่ให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยจะมีลูกศรคอยบอกว่าตอนนี้เราถือเครื่องเอียงหรือไม่และ ยังมีแถบส้มบอกว่าตอนนี้เราถือกล้องหลุดจากเฟรมที่ควรเป็นไปเท่าไร ทำให้สามารถปรับท่าทางการถ่ายได้ทัน

Background Defocus อันนี้ไม่ได้แถมมากับตัวเครื่อง แต่ลองโหลดมาเทสดู สามารถทำงานได้ไวกว่าก่อนมาก (อานิสงค์ Motion Eye) สามารถเลือกระดับความเบลอด้านหลังได้เลย แต่เท่าที่ลองเล่นดูยังพบว่าถ้าวัตถุนั้นไม่ได้เป็นทรงตัน เช่นกันดั้มตัวนี้ส่วนที่เป็นด้านในแขนขากล้องจะแยกเบลอจากฉากหลังไม่ได้ แต่ถ้าถ่ายวัตถุทั่วไปที่ไม่มีช่องแสงเล็กๆระหว่างกลางจะเบลอได้สวยเนียนแน่นอนครับ สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่เลยครับ Play Store

ซอฟต์แวร์มาพร้อมกับ Android™ Oreo 8.0 จากโรงงานกันเลย แต่ UI ต่างๆยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าไร ยังคงดีไซน์ที่ยังเป็น Xperia อยู่ แต่ปุ่ม navigator bar อย่างปุ่ม home นั้นเปลี่ยนให้คล้ายกับพวก Pixel 2 แล้วเวลากดค้างจะเป็นการเรียกใช้งาน Google Assistant

หน้าจอ Lock Screen จะเป็นการสไลด์ธรรมดา มี Clock widget ตัวใหม่มาให้ใช้งาน สามารถเลือกเปลี่ยนนาฬิกาได้โดยการกดค้าง โดยมีให้เลือก 4 แบบ ไม่สามารถโหลด Widget อื่นๆมาไว้ในหน้า lock screen ได้ เมื่อปลดล็อคเข้ามาก็จะเป็นหน้า Xperia Home โดยยังคงเหมือนกับตัวก่อนๆ สามารถกดค้างเพื่อจัดการเพิ่ม/ลบหน้าหรือเพิ่ม Widget การตั้งค่าต่าง ๆ ของ Home Screen สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากส่วนนี้ โดยการตั้งค่าก็จะเป็นการตั้งค่า Launcher ทั่วไปตั้งแต่การปรับเปลี่ยนขนาด icon หรือตั้งตารางการแสดงผลหน้าจอให้เป็นรูปแบบตาราง  3×4 ไปจนถึง 5×6 หรือตั้งค่าให้เลื่อนซ้ายสุดเป็น Google Now ได้

Notification ที่ได้เปลี่ยนใหม่ นอกจากจะสไลด์เพื่อลบแล้วยังสามารถตั้งให้มันแจ้งเตือนเราอีกครั้งได้ และเมื่อกดที่ข้อความที่เข้ามาเราสามารถตอบกลับที่หน้า Notification โดยที่ไม่ต้องเข้าไปตอบในแอป เมื่อดึงลงมาอีกครั้งจะเป็นการเข้าหน้า

Quick setting สามารถแก้ไขเมนู setting ต่างๆตามที่เราต้องการได้ ส่วน Recent App ยังคงเหมือนเดิม สามารถเลื่อนขึ้นเลื่อนลงเพื่อเปลี่ยนแอปหรือกด clear all เพื่อปิดแอปทั้งหมดได้ เมื่อกดปุ่ม Recent app ค้างจะเป็นการทำงานแบบแบ่งสองหน้าจอ หรือถ้าเรากด Recent app 2 ทีจะเป็นการสลับใช้งานระหว่างแอปที่เปิดล่าสุด

App drawer ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก แต่ได้เพิ่มคำสั่งลัดเมื่อเรากดค้างในแต่ละแอปจะสามารถเลือกไปยังเมนูต่างๆได้เลย ไม่ต้องเข้าไปเลือกในแอปอีกที แต่ฟีเจอร์นี้ยังคงรองรับแค่แอปของ Google ต้องรออีกซักพัก อาจจะสามารถกดค้างที่ไอคอน facebook เพื่อตั้งสเตตัสกันได้เลย

Contact และโทรศัพท์ยังคงรูปแบบเดิมไว้ สามารถ Sync รายชื่อจากบัญชี Gmail ของเราลงมาได้ สามารถเพิ่มชื่อ หรือมาร์ค Favorites คนที่โทรหาบ่อยหรือจะตั้งกลุ่มรายชื่อ

Messages สามารถเลือกส่งเป็นกลุ่มได้สะดวกขึ้น ส่วนคีย์บอร์ดในเครื่องจะเป็นแอป Swiftkey โดยมีข้อดีที่ปรับขนาดคีย์บอร์ดได้, แถบเดาคำ และจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากที่เราพิมพ์และคอยแก้ไขให้ถูกต้องตลอด, สามารถ Cut หรือ Copy คำที่เราใช้งานบ่อยปักหมุดไว้ได้ด้วย สะดวกไม่ต้องคอยพิมพ์ซ้ำ และสามารถเปลี่ยนธีมคีย์บอร์ดได้ และยังมี Emoji แบบใหม่เพิ่มอีกหลายรูปแบบ จาก Android O อีกด้วย

Calendar ได้เพิ่มลายกราฟิกสวย ๆ และไฮไลท์วันสำคัญและคิวนัดต่าง ๆ สามารถ Sync ตารางงานเราจาก gmail ได้โดยตรงเลย ในแต่ละเดือน

Clock มีการปรับปรุง UI ใหม่ สามารถดูเวลาตามโซน ตั้งปลุก จับเวลาได้เหมือนเดิม Weather อิงข้อมูลจาก AccuWeather.com มาพร้อมหน้าตา UI ที่สวยงาม แอป Email สามารถ Sync และจัดการอีเมล์ต่าง ๆ ได้โดยมีฟีเจอร์ต่างๆให้เลือกใช้ครบครัน และ Calculator ได้เพิ่มฟังก์ชั่นวิทยาศาสตร์เข้ามา

Music การใช้งานยังคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนฉากหลังหน้า Player ให้เป็นการละลายปกอัลบั้มแทนการใช้สีแบบเดิม สามารถเลือนนิ้วจากมุมซ้ายเพื่อเข้าสู่เมนูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Play queue, Albums, Song, Playlist หรือ Setting และยังเพิ่มบริการจาก Spotify มาให้ในแอปเลย สามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลเพลงผ่าน Download Music info ได้ ในส่วนของ Audio Settings จะเป็นการเลือกเปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น DSEE HX, ClearAudio+, Dynamic normaliser, S-Force Front Surround ในส่วนของ Sound Effect สามารถเลือกตั้งค่า Equalizer หรือเลือกระบบเสียงต่าง ๆ ของหูฟังได้ ในส่วนของ Accessory จะเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น Noise cancelling, LDAC, Mic sensitivity และสามารถตั้งค่า Sleep timer ได้แล้ว

Album ยังคล้ายเดิมอยู่ โดยสามารถเลือกดูภาพโดยรวมหรือแยกดูแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้ การเลือกดูรูปหลายรูปหรือทีละ 3 รูป 2 รูปในหนึ่งแถวทำได้ง่ายเพียงแค่ลากนิ้วกางเข้า/ออก หรือสามารถเลือกดูภาพแบบ Slideshow ก็ได้ การใช้งานเวลาเลื่อนดูภาพเร็วๆไม่พบอาการรอโหลดภาพอีกต่อไปเพราะเปลี่ยนมาใช้ USF Internal Memory รองรับการแชร์ภาพกับ Facebook, Picasa และ Flickr รองรับฟีเจอร์ Home Network ซึ่งการ Cast ภาพหรือวีดีโอไปแสดงบน Smart TV นั้นเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้เป็นแบบ High data rate preferred คือส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง แต่อาจจะเสียรายละเอียดภาพไปบ้างหรือ High quality preferred ซึ่งจะส่งภาพที่ความเร็วต่ำกว่า อาจจะใช้เวลาเพิ่ม แต่จะไม่เสียรายละเอียดภาพในการส่ง

Video สามารถตั้งค่าให้เล่นแบบ Background playback และเปิด Subtitle ได้ และได้เพิ่ม Home Network เข้ามาในแอปเลย ด้านการตัดต่อวีดีโอยังมาพร้อมกับแอป Movie Creator เพื่อสามารถสร้างวีดีโอสไลด์ภาพเก๋ ๆ โชว์เพื่อนก็ได้ ผมชอบฟังก์ชั่นที่มันจะจับภาพในรอบ 1 สัปดาห์หรือ 1 เดือนมาทำวีดีโอไฮไลท์ให้เราได้ดู

Settings ได้รับการปรับปรุงใหม่ เมนูที่เคยอยู่ในหมวดออกมาอยู่ด้านหน้าเลย เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง และเพิ่มกราฟฟิกสวย ๆ ขึ้นมาในแต่ละเมนูเพื่อสื่อให้เราเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น มการ Cast ภาพไปยังอุปกรณ์ต่างๆยังรองรับการเทคโนโลยี Screen mirroring, Cast on TV หรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นจอย DUALSHOCK4 ได้อย่างครบถ้วน

การเลือกโหมดแสดงผลของหน้าจอที่จะมีรูปและคลิปเปรียบเทียบให้ดูกันไปเลยว่าแต่ละโหมด ระหว่างเปิดกับปิดให้ภาพต่างกันยังไง โดยใน Xperia XZ1 นั้นจะแยกการเปิด/ปิดฟีเจอร์ X-Reality for mobile ออกไปอยู่ในหัวข้อ Video image enhancement แทน ส่วนการตั้งค่าสีหน้าจอปกติจะใช้คำว่า Color gamut and contrast แทน โดยจะเปลี่ยนการตั้งค่าเป็น 3 โหมดหลักๆคือ

  • Professional mode จะเป็นโหมดที่ใช้ sRGB ที่ 100% color gamut ซึ่งจะให้สีที่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งสะดวกเวลาเราต้องแต่รูปบนมือถือและต้องการนำรูปนั้นไปปริ้นใช้งานจริง เพราะสีที่เห็นบนจอจะใกล้เคียงสีจริงมากที่สุด น่าจะถูกใจช่างภาพที่โอนภาพจากกล้องมาแต่งบนมือถือได้โดยที่ไม่ต้องรอกลับไปแต่งที่บ้าน
  • Standard mode จะใช้เทคโนโลยี TRILUMINOS Display ในการเรนเดอร์ภาพให้มีสีสันที่สวย สดใสมากขึ้น
  • Super-vivid mode โหมดที่จะทำให้สีหน้าจอของเครื่องสดมาก เหมาะแก่การเล่นเกมหรือคนที่ชอบสีเข้มๆแบบฟลูคัลเลอร์

ซึ่งการเลือกโหมดต่างๆนี้ถ้าเราไปปรับค่า White Balance หน้าจอในโหมดต่างๆ เมื่อเราเปลี่ยนโหมดมันก็จะจำได้ว่าตอนเราใช้โหมดนี้ เราปรับค่า White Balance หน้าจอไว้เท่านี้นะ ถ้าเราเปลี่ยนกลับมามันก็จะเปลี่ยนค่า White Balance ไว้ตามที่เราตั้งไว้ในโหมดนั้นๆ โดยไม่ต้องมาตั้งกันใหม่

Backlight control ที่จะคอยจับความเคลื่อนไหวของสายตาผู้ใช้ เพื่อไม่ให้หน้าจอดับแม้จะไม่มีการสัมผัสหน้าจอนั่นเอง สามารถตั้งค่า Text และ Display size โดยจะมีตัวอย่างให้ดูระหว่างการตั้งค่าเลย

สามารถตั้งค่า Notification ได้ละเอียดกว่าเดิมชนิดที่ว่าเลือกไปตั้งค่าแต่ละแอปกันได้เลย โดยสามารถกำหนดในแต่ละแอปได้เลยว่าจะให้เลือกเตือนเฉพาะแอปไหนบ้างซึ่งเราสามารถตั้งค่า Default ของแอปต่างๆว่าจะให้เปิดตัวแอปอะไร โดยจะมีหน้ารวม App permission ต่างๆให้เราดูได้ว่ามีแอปตัวไหนขอ Permission อะไรไปบ้าง

ส่วนพื้นที่การใช้งาน Storage นั้นสามารถดูได้ว่าตอนนี้ใช้พื้นที่ไปกี่ % แล้วเหลือเท่าไร โดยสามารถกด Free up space โดยแอปจะเลือกว่ามีไฟล์ไหนที่ควรลบบ้าง ส่วนฟังก์ชั่น Smart cleaner นั้นได้ย้ายไปอยู่ในเมนู Assist แทน

Assist ที่ปรับปรุง UI ให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น โดยจะรวมเมนูต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นใช้งานเครื่อง (Introduction to Xperia) หรือเทคนิคการใช้งานต่างๆ (Xperia Tips) และโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง  Xperia Actions ซึ่งช่วยปรับแต่งค่าการทำงานของสมาร์ทโฟนให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ เพื่อให้คุณใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกตั้งค่าการใช้งานให้เข้ากับชีวิตเราได้มากยิ่งขึ้น โดยจะแบ่งเป็นตอนต่างๆเช่นเรานอน, ทำงาน หรือเวลาเรานั่งเครื่อง ช่วยให้สามารถใช้งาน Xperia ในสถานการณ์ต่างๆโดยที่ไม่ต้องคอยมาตั้งค่าตลอดเวลา

ส่วนการจัดการ User & account ที่จะเป็นศูนย์รวมจัดการแอคเคาต์กับแอปต่างๆของเรา และ Lock screen & security ที่ได้เพิ่ม Google Play Protect ที่เป็นฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ Android O โดยจะทำการสแกนและตรวจสอบแอปต่างๆอยู่เสมอว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือแอบโหลดอะไรมาลงบ้างหรือปล่าว

ส่วนเมนู System จะรวมการตั้งค่าระบบเบื้องต้นต่างๆ ทั้งภาษา เวลาของเครื่องหรือการ Back up อยู่ด้วยกันในเมนูเดียว Xperia Care นั้นเราสามารถเข้าไปเช็ค Product ID หรือประกันที่เหลืออยู่ได้ นอกจากนั้นสามารถเข้าไปดูข้อมูลการใช้งานต่างๆได้ผ่าน Xperia Care ได้เช่นกัน

Xperia XZ1 เริ่มแรกที่เปิดตัวมา ผมถูกใจกับวัสดุฝาหลังที่กลับมาใช้เป็นอะลูมิเนียมอีกครั้ง รวมถึงการทำให้มันเป็นชิ้นเดียวกับขอบข้างและบางลงทำให้ถือสะดวกกว่าเดิม และการใช้งานมือเดียวก็จับได้กระชับมือกว่าเดิม รวมถึงหลายๆสิ่งที่ได้รับมาจากรุ่นพี่ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ต่างๆอย่างหน้าจอ HDR หรือการออกแบบวงจรภายในใหม่แก้ปัญหากล้องร้อน ต่างก็ได้รับการส่งผ่านมาจากรุ่นพี่ Xperia XZ Premium อย่างครบถ้วน สามารถถ่ายวีดิโอหรือเล่นเกมหนักๆได้โดยที่ไม่เจอปัญหาความร้อนอีกต่อไป

แบตเตอรี่จากที่ทดลองใช้มาสามารถอยู่ได้วันหนึ่งอย่างสบายๆ กล้องมาพร้อมกับเทคโนโลยี Motion Eye ที่มีฟังก์ชั่นต่างๆให้เลือกใช้ไม่ว่าจะเป็น Predictive Capture และ Super-slow motion 960fps ทำให้สามารถใช้ถ่ายภาพได้สะดวกมากขึ้น และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ 3D Creator ที่ผมว่ามันเป็นลูกเล่นที่ใช้งานได้สนุกแต่ยังแอบใช้งานยากกว่าที่คิด ซึ่งอันนี้ใครที่ใช้ Xperia XZ Premium นั้นเดียวคงได้รับเหมือนกันเมื่อได้อัพเดตเป็น Android O

สำหรับราคาขายในไทยตอนนี้อยู่ที่ 22,990 บาท สามารถเลือกจับจองเป็นเจ้าของกันได้ที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือเจ้าใหญ่ๆทั่วประเทศ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 สีด้วยกันคือ น้ำเงิน (Moonlit Blue), ดำ (Black), เงิน (Warm Silver) และ ชมพู (Venus Pink)

สำหรับใครที่เป็นเจ้าของ Xperia XZ1 แล้ว กำลังตามหาเคสสวยๆหรืออุปกรณ์เสริมสามารถเลือกซื้อกันได้ที่ SE-Update shop เลยครับ 🙂

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่