หลังจากที่มีข่าวลือเกี่ยวกับเรือธงตัวใหม่ของโซนี่ได้ไม่นานทั้งๆที่ XPERIA X Performance เพิ่งจะได้วางจำหน่ายในไทยไปหยกๆ ทำให้หลายคนเกิดความลังเลที่จะรอคอยตัวนี้ จนในงาน IFA2016 ที่ผ่านมาก็ได้เปิดตัวมือถือเจนปลายปีของโซนี่ไปทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Xperia X Compact ที่เราได้รีวิวไปก่อนหน้า และเรือธงที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้กับ Xperia XZ ครับ
XPERIA XZ มาในดีไซน์ใหม่ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ทรงเหลี่ยมของโซนี่ไว้กับ “Loop Surface” ซึ่งจะเป็นการดีไซน์มือถือทรงโค้งบรรจบกันทั้งหน้าและหลัง แต่ยังคงความสมมาตรกันแบบดีไซน์ก่อน (Omnibalance) อยู่ โดย XPERIA XZ มาพร้อมกับวัสดุใหม่อย่าง ALKALEIDO™ ซึ่งเขาเครมว่าเป็นโลหะชนิดใหม่ ทำให้ผิวโลหะนั้นออกมากึ่งเงาและสะท้อนแสงได้ ทำให้โทรศัพท์เราดูมีมิติ มันเงา สว่าง อย่างในเครื่องที่เราได้มาทดสอบนี้ก็จะเรียกว่า Minaral Black ซึ่งเป็นเครื่องสีดำ แต่เวลามีแสงมาตกกระทบจะทำให้ออกสีน้ำตาลหน่อย ๆ นับว่าเป็นวัสดุที่ให้ความสวยงามเวลาจับถือได้ดีครับ ส่วนอีก 2 สีที่เหลือคือ Forest Blue(น้ำเงินเข้ม) และ Silver(เงิน) ก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน แต่ล่าสุดได้ทำการเปิดตัวสีชมพู Deep pink ออกมาด้วย
ด้านหน้ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.2″ ความละเอียด 1080p เช่นเดิม เป็นจอชนิด IPS TRILUMINOS Display ซึ่งสามารถให้สีที่สมจริงและมีเฉดสีหน้าจอที่กว้างกว่าจอทั่วไป โดยหน้าจอจะเป็นจอกระจกโค้ง 2.5D ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการถือเล่นมือเดียวที่ดีกว่า มาพร้อมกล้องขนาด 13MP และลำโพงคู่ Stereo ไฟ LED Notification และตำแหน่ง NFC อยู่ที่มุมบนซ้าย ถัดมาเป็นลำโพงสนทนาและเซนเซอร์วัดแสง โดยมีพื้นที่ด้านล่างและบนเครื่องเหลือไว้ให้จับถือเล่นเกมได้อย่างสะดวก
โดยสีด้านหน้าจะไม่ดำสนิทแต่จะเป็นสีเดียวกับตัวเครื่องด้านหลัง ถ้าตัว Forest Blue ก็จะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วน Silver ก็จะเป็นขาวเงิน
ด้านหลังมาพร้อมกับวัสดุใหม่ โดยตระกูล X จะไม่ใช้กระจกทำฝาหลังแล้ว โดย XPERIA XZ จะมาพร้อมวัสดุใหม่ที่เรียกว่า ALKALEIDO™ ซึ่งเป็นวัสดุที่เป็นโลหะ ให้การสะท้อนเวลามองที่มุมต่าง ๆ ดูสวยงาม โดยด้านล่างจะเป็นพลาสติกเพื่อเป็นจุดรับคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ และการใช้ฝาหลังแบบโลหะนี้ทำให้สัญญาณ NFC ไม่สามารถผ่านได้ทำให้ต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ด้านหน้าแทนเช่นเดียวกับ XPERIA X Performance
ตรงกลางจะสลักเป็นโลโก้ XPERIA ถัดไปด้านบนจะเป็นกล้องขนาด 23MP และเซ็นเซอร์ Laser Focus , RGBC-IR Sensor และ LED Flash
ด้านขวาจะเป็นตำแหน่งปุ่ม Power โดยได้ทำการวางปุ่มให้เว้าลงเล็กน้อยเพื่อสามารถกดง่ายขึ้น ถัดมาเป็นปุ่มเพิ่ม/ลด เสียง และปุ่มชัตเตอร์ โดยใน XPERIA XZ ปุ่ม Power และชัตเตอร์จะกดง่ายขึ้น โดยเฉพาะปุ่มชัตเตอร์ที่นิ่มมากสามารถกดโฟกัสและถ่ายโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้เครื่องสั่นจนภาพเบลอ ขอบเครื่องทำมาจากพลาสติกที่มีความแข็งระดับนึง
ถัดมาด้านล่างเป็นช่อง Micro USB Type-C และตำแหน่งไมค์สนทนา วัสดุที่ใช้น่าจะเป็นพลาสติกขัดลาย ซึ่งตรงนี้ผมรู้สึกว่าวัสดุมันเป็นคนละตัวกับ XPERIA X Compact ซึ่งอันนั้นผมว่าเป็นกระจกฝ้าแบบเดียวกับฝาหลังของ XPERIA Z5
ด้านบนจะเป็นตำแหน่งพอร์ตหูฟัง 3.5mm และตำแหน่งไมค์บันทึกเสียงตัวที่ 2 ซึ่งจะทำงานคู่กับไมค์ด้านล่างเพื่อบันทึกเสียง Stereo วัสดุจะเป็นแบบเดียวกับด้านล่าง และทำหน้าที่ตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนาโทรศัพท์
ฝั่งซ้ายจะเป็นตำแหน่งพอร์ตใส่ซิมการ์ดและ Micro SD Card
โดยถาดใส่ซิมจะเป็น Nano SIM และ Micro SD Card จะเป็นถาดเดียวกันแบบ Hybrid Slot คือช่องแรกเป็นช่องใส่ SIM ส่วนอีกช่องต้องเลือกระหว่าง SIM2 หรือ Micro SD Card อย่างใดอย่างหนึ่ง รองรับการใช้งานแบบ 4G+3G แบบ XPERIA X Performance
XPERIA XZ เป็นตัวแรกที่โซนี่ใช้ชื่อดีไซน์ใหม่ว่า Loop Surface แทน Omnibalance แบบเดิมแต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นเหลี่ยมและสมมาตรไว้ โดยการจับจะให้ความรู้สึกที่กระชับมือแบบเดียวกับ XPERIA X Series ก่อนหน้า ไม่มีอะไรนูนออกมากระด้างมือแบบตอน XPERIA Z5 ทำให้การถือจับสะดวกและไม่รู้สึกเจ็บมือมากเพราะโค้งรับกับอุ้งมือพอดี ส่วนฝาหลัง ALKALEIDO™ ให้ความรู้สึกในการจับได้ดี และดูสวยเงางามเมื่อเจอแสงสะท้อน แต่น่าเสียดายที่มันยังคงเป็นรอยนิ้วมือง่ายเช่นเคย ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงยังถูกวางในตำแหน่งที่ต่ำลงมาเพื่อสามารถใช้เป็นปุ่ม Zoom in/out ได้ เพราะการเว้นพื้นที่ด้านล่างไว้ทำให้เราสามารถถ่ายรูปมือเดียวได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น บวกกับปุ่มชัตเตอร์ใน XPERIA XZ ที่ถูกปรับปรุงให้กดถ่ายได้ง่ายขึ้นโดยแทบไม่ต้องออกแรงกดแบบเก่าจนเครื่องสั่นภาพเบลอนั่นเอง
Specification
- SoC Qualcomm® Snapdragon™ 820 64-bit processor
- RAM 3GB, ROM 64 GB (เหลือพื้นที่ใช้งานประมาณ 50GB) รองรับ MicroSD Card สูงสุด 256 GB
- IPS TRILUMINOS™ Display 5.2 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 1920p รองรับ X-Reality® for mobile โดยคราวนี้เลือกใช้กระจก Corning® Gorilla® Glass
- กล้องหลัง 23 MP 1/2.3” Exmor RS™ (24mm wide G-Lens) ประมวลผลด้วยชิป BIONZ® สามารถดัน ISO ได้สูงสุด 12800 มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ Triple image sensing technology
- รองรับ Predictive Hybrid Autofocus, Fast Capture, 4K video recording, HDR photo และระบบกันสั่นแบบใหม่ SteadyShot™ with Intelligent Active Mode (5-axis stablization)
- กล้องหน้า 1/3.06” Exmor RS™ ISO สูงสุด 6400 ในที่แสงน้อย 22Mm wide-angle lens F2.0
- ขนาดตัวเครื่อง 146 x 72 x 8.1 mm
- น้ำหนัก 161g เบากว่า XPERIA X Performance 4g โดย XPERIA Z5 มีน้ำหนักที่ 154g แต่ความรู้สึกผมเวลาถือกลับรู้สึกว่า XPERIA XZ เบากว่า
- รองรับการใช้งาน 2SIM (4G+3G)
- รองรับมาตราฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ IP65/IP68**
- พอร์ตเชื่อมต่อเป็นแบบ USB Type-C
- แบตเตอรี่ขนาด 2,900 mAh มาพร้อมกับเทคโนโลยี Qnovo Adaptive Charging ที่ช่วยยืดอายุแบต และมาพร้อมกับ STAMINA mode และรองรับ Quick Charge 3.0
หน้าจอของ XPERIA XZ เมื่อเทียบกับ XPERIA Z5 นั้นตัว XZ จะมีความสว่างและสีขาวจะออกไปในทางนวล ๆ เหลืองในขณะที่ Z5 จะออกไปทางฟ้านิด ๆ ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนชอบ และสามารถปรับค่า White Balance ของจอได้เช่นเคยที่ Setting > Display แต่เท่าที่ลองดูจอของ XPERIA XZ จะยังคงรายละเอียดและโทนสีใกล้เคียงกับ XPERIA X Performance คือภาพบางจุดที่มืดจะเห็นรายละเอียดได้ดีกว่า XPERIA Z5 การใช้งานให้มุมมองที่กว้างและสามารถใช้งานกลางแดดได้ดี
ทางด้านเสียงยังรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) โดยรองรับเทคโนโลยี aptX และ LDAC ของโซนี่ที่จะช่วยให้เล่นเพลงแบบไร้สาย (Wireless) ผ่าน Bluetooth ได้ด้วยความละเอียดสูงสุด 24bit/96kHz หรือก็คือไม่สูญเสียรายละเอียดเลย (แต่ตัวหูฟังก็ต้องรองรับ LDAC ด้วยนะ) ฟังก์ชั่น DSEE-HX ที่สามารถดึงความละเอียดของเสียงในไฟล์เพลงที่มีความละเอียดต่ำจากการบีบไฟล์ ให้มีความละเอียดชัดตามเดิม การใช้งานฟังก์ชั่น Digital Noise Cancellation กับหูฟังที่รองรับยังมีอยู่ นอกนั้นจะเป็นฟีเจอร์ตามเดิมเช่น Clear Audio+, S-Force Front Surround,Stereo recording และ Dynamic normalizer ที่จะช่วยให้ได้ยินเสียงในทุกย่าน
การใช้งานดูวีดีโอต่าง ๆ ให้สีสันที่สวยงาม และเต็มความละเอียด 1080p โดยสามารถเลือกเปิด X-Reality® for mobile ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคอนทราสของภาพให้มีสีสันที่สวยขึ้น หรือถ้าอยากได้จอสีสดไว้ดูหนังก็ยังมีโหมด Super-vivid ให้เลือกเช่นเคย
การกันน้ำรองรับที่มาตราฐาน IP65/IP68 แต่ก็อย่าเผลอนำไปลงแช่ในน้ำทะเลหรือน้ำที่มีสิ่งเจือปนล่ะ เพราะมาตราฐานนี้วัดจากน้ำที่นิ่งและบริสุทธิ์เท่านั้นพอร์ต Slot Micro SD Card ทำได้หนาแน่น ใครที่คิดจะเอาลงไปถ่ายเล่นใต้น้ำก็หมดห่วงเรื่องนี้ได้
เนื่องจาก XPERIA XZ ได้เปลี่ยนมาใช้ USB Type-C แล้วทำให้สามารถใช้งาน Quick Charge 3.0 ได้ ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมในช่วง 0-80% และเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาอย่าง Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยตรวจสอบและปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Battery Care ที่จะคอยเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าควรชาร์จไฟช่วงไหนถึงช่วงไหนเช่นเราชอบเสียบชาร์จไว้ทั้งคืนแล้วถอดออกตอนเช้ามันก็จะจำพฤติกรรมนี้ไว้แล้วจะชาร์จรอแค่ 90% พอใกล้ถึงเวลาที่เราจะถอดมันก็จะเติมให้ครบ 100% แต่อันนี้ยังมีข้อด้อยตรงช่วงกลางวันที่ผมอยากรีบชาร์จให้มันเต็มแล้วออกไปทำธุระจะพบว่ามันจะเริ่มช้าลงช่วง 90-100% และช USB Type-C ยังสามารถทำให้มือถือเป็น Powerbank จ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย
การใช้งานหน้าจอ XPERIA XZ กลางแดดไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป สามารถนำมันไปถ่ายรูป Outdoor ได้อย่างสะดวก
ด้วยขุมพลังของ Qualcomm® Snapdragon™ 820 (2×2.15 GHz Kryo & 2×1.6 GHz Kryo) และ GPU Adreno 530 ทำให้สามารถเล่นเกมกราฟิคหนัก ๆ ได้อย่างลื่นไหล จากการลองเล่น Need for Speed และ Modren Combat อยู่พักใหญ่ พบว่าสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงให้เห็น ตัวเครื่องมีความร้อนออกมาแค่อุ่น ๆ ไม่ร้อนจนรู้สึกได้แบบ XPERIA Z5 และความร้อนยังระบายเร็วขึ้นอาจจะเพราะเปลี่ยนมาใช้ฝาหลังแบบโลหะแทนกระจกแบบในซี่รี่ย์ Z
การทดสอบ Benchmark ด้วยแอปต่าง ๆ โดยผมได้ทำการทดสอบทั้งหมด 3 แอปด้วยกันคือ AnTuTu, 3DMarks และ A1 SD Bench ส่วนผลเป็นยังไงไปดูที่ด้านล่างได้เลยครับ โดยผมได้ปล่อยให้เครื่องทำการทดสอบไปเรื่อยจนเสร็จหลังจากที่ใช้งานการประมวลผลแบบหนัก ๆ จะเช็คอุณภูมิเฉลี่ยได้ที่ 50 องศา
XPERIA XZ ยังใช้เซ็นเซอร์กล้อง IMX300 ซึ่งเป็นตัวเดียวกับ XPERIA X Performance และ XPERIA Z5 แต่!!! มันมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “Triple Image Sensing” ซึ่งเดียวเราจะไปดูกันว่ามันมีอะไรกันบ้าง ตัวกล้องมาพร้อมความละเอียด 23MP (ความละเอียดเต็ม 25MP) แม้ไม่ได้สลักคำว่า G Lens ที่ด้านหลังแล้ว แต่สำหรับตัวนี้ยังคงเป็นเลนส์ G ซึ่งมีเลนส์ทั้งหมด 6 ชิ้นด้วยกัน และมีรูรับแสงขนาด F2.0 ยังคงใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS™ (24mm wide G-Lens) ขนาดเซ็นเซอร์อยู่ที่ 1/2.3 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิป BIONZ® เช่นเดิม
Triple Image Sensing คือ 3 เซ็นเซอร์หลักที่่ช่วยสร้างสรรค์ภาพถ่ายให้ออกมาสวยที่สุด ประกอบด้วย
– CMOS Sensor ขนาด 1/2.3 นิ้ว รองรับเทคโนโลยี Phase detection Auto Focus และ Predictive Hybrid Auto Focus ที่โฟกัสได้ไวกว่าเดิมและสามารถเดาการเคลื่อนที่ล่วงหน้าของวัตถุได้
– RGBC-IR สำหรับตรวจจับสีของภาพถ่ายให้ออกมาสมจริงที่สุด โดยมีการตรวจจับสี RGB ให้มีค่าใกล้เคียงรูปจริงที่ถ่ายได้ เพราะว่าสีบนโลกล้วนเกิดจากการผสม RGB ทั้งนั้น
– Laser Auto Focus ช่วยให้สามารถตรวจจับจุดโฟกัสวัตถุได้แม่นยำขึ้น แม้จะเป็นในที่แสงน้อยก็ตาม
**ภาพแสดงลักษณะตำแหน่งของเซ็นเซอร์ต่าง ๆ
โดยอีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน XPERIA XZ คือมันเพิ่มความสามารถใน Manual Mode ให้ปรับค่าสปีดชัตเตอร์ได้ที่ 1/4000 ถึง 1 วินาที และสามารถปรับระยะโฟกัสได้ โดยมีระยะใกล้สุดที่ 12mm นอกนั้นจะเป็นการปรับค่าชดเชยแสง EV และ White Balance นอกจากนั้นก็ยังมีฟีเจอร์ถ่ายภาพซูม 5 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียด การถ่ายภาพในโหมด HDR และที่กลับมาอย่างการบันทึกวีดีโอ 4K
ด้านการโฟกัสยังมาพร้อม Predictive Hybrid Autofocus ซึ่งจะช่วยให้ถ่ายรูปวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น โดยจะทำการคาดเดาการเคลื่อนไหวของวัตถุล่วงหน้า และพยายามโฟกัสนำวัตถุเพื่อที่เวลาเรากดถ่ายภาพจะได้โฟกัสได้ตรงวัตถุพอดี โดยการโฟกัสยังย่อขยายตามขนาดวัตถุ จากที่ลองเล่นดูมีความแม่นยำและความไวในการติดตามดีกว่า XPERIA X Performance แต่ถ้าเจอวัตถุที่กลมกลืนกับฉากหลังหรือไม่โดดเด่นจากฉากหลังมากทำให้การโฟกัสผิดพลาดได้
ด้านบนจะเป็นคลิปการใช้งานกล้องต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการใช้งานยังเป็นเมนูที่ปรับใช้ตอน XPERIA Z5 โดยการปัดตามแนวขวางจะเป็นการเปลี่ยนโหมด Manual > Superior Auto > Video > Apps ส่วนการปัดขึ้นลงจะเป็นการเปลี่ยนใข้งานกล้องหน้า/หลัง
การใช้งานในโหมด Superior Auto สามารถปรับตั้งได้นิดหน่อยเช่น ตั้งเวลาถ่าย ความละเอียดภาพ ค่าชดเชยแสง(EV) และค่าอุณภูมิสี โดย Predictive Hybrid Autofocus จะรองรับการทำงานที่โหมดนี้เท่านั้น สามารถเปิด/ปิดได้ที่เมนู Object tracking สามารถเลือกตั้งค่าเวลาเราสัมผัสหน้าจอว่าจะให้แค่โฟกัสจุดที่เราสัมผัสหรือโฟกัสและวัดแสงจุดที่เราสัมผัสด้วยได้ การถ่ายแล้วเลือก Scene ต่าง ๆ แม่นยำขึ้น ในโหมดนี้ถ้าถ่ายตอนกลางคืนสามารถดัน ISO ได้สูงสุด 12800 ภาพสีสันดูโอเคขึ้น อาจเพราะ RGBC-IR Sensor ด้วย แต่เวลาถ่ายย้อนแสงโหมดยังเลือกที่จะลดค่า ISO ลงให้เห็นรายละเอียดท้องฟ้าแทนที่จะเป็น HDR โหมด และไม่สามารถเลือกเปิด/ปิด HDR ได้จากโหมดนี้ด้วย ถ้าใครอยากได้ประสบการณ์เต็ม ๆ ด้านถ่ายภาพ เรายังมีโหมด Manual อยู่ครับ
ส่วนโหมด Manual สามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็น ISO ได้ตั้งแต่ 50-3200 โดยที่ความละเอียด 23MP และ 20MP สามารถเลือกปรับ ISO ได้สูงถึง 3200 แล้ว การวัดแสงจะมีให้เลือกทั้งแบบ Face, Multi, Center, Spot และ Touch ส่วนฟังก์ชั่นเลือก Scene ถ่าย (SCN) จะสามารถเลือกได้ที่ความละเอียด 8MP ลงมาเท่านั้นเหมือนอย่างเคย
ส่วนการปรับสปีดชัตเตอร์จะไปอยู่รวมกับเมนูปรับ EV ด้านซ้ายของปุ่มชัตเตอร์ เมื่อเปิดขึ้นมาสามารถเลือกปรับโฟกัสเป็นแบบใกล้หรือไกลได้ ส่วนสปีดชัตเตอร์สามารถเลือกปรับได้ตั้งแต่ 1/4000 ถึง 1 วินาที แต่น่าเสียดายถ้าเราไปเปลี่ยนสปีดชั่ตเตอร์ค่า ISO จะถูกตั้งเป็น Auto ทันที่ ส่วนค่าการชดเชยแสง(EV) สามารถปรับได้ที่ +2 ถึง -2 และ White Balance สามารถปรับได้ตามเดิม ไม่สามารถเลือกอุณภูมิสีได้ในโหมด Manual
อีกสิ่งที่เพิ่มมาคือเซ็นเซอร์ RGBC-IR ซึ่งจะช่วยในการปรับ White Balanced ของเฉดสี RGB เพื่อให้ภาพที่ออกมาได้มีเฉดสีที่สมจริง ถูกต้องตามที่เรามองมากที่สุด โดยเราได้ลองเทียบภาพกับ XPERIA Z5 ที่ไม่มีเซ็นเซอร์นี้ว่าจะให้ภาพที่ต่างกันเพียงใดครับ
จากรูปสีแดงของรถของ XPERIA Z5 จะออกโทนแดงอมฟ้าเนื่องจากการปรับ WB โหมด Fluorescent ทำให้โทนสีของรถติดโทนไปด้วย แต่ใน XPERIA XZ นั้นสีรถจะเป็นสีจริงตามที่ตาเห็นมากกว่า
ภาพนี้จะมองยากนิดนึง แต่ภาพจาก XPERIA XZ จะออกโทนขาวอุ่นซึ่งจะเป็นสีที่ถูกต้องจากรถที่โดนแสงพระอาทิตย์ส่อง
ภาพนี้อาจไม่ค่อยมีความแตกต่างเท่าไร โดย XPERIA XZ จะเก็บเงาตามใบได้ดีกว่า
ภาพนี้ XPERIA XZ จะสว่างกว่า และไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนจะออกโทนขาวมากกว่า แต่ยังไม่ต่างกันมาก
อันนี้จะเป็นภาพที่ผม Crop มาจะเห็นได้ว่าภาพจาก XPERIA Z5 ในบริเวณแยกที่รถติดไฟแดงเยอะ ๆ ภาพจะโดนย้อมออกโทนแดงไป
อีกหนึ่งอย่างที่เราจะมาลองกันคือการปรับสปีดชัตเตอร์ ซึ่งเราจะมาอธิบายกันคร่าว ๆ ถึงหลักการกล้องถ่ายภาพเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสปีดชัตเตอร์และ ISO โดยปกติของโซนี่ที่ถ่ายในกลางคืนได้ดีจะใช้ ISO ช่วยยิ่งปรับค่า ISO สูงเท่าไรก็จะยิ่งเก็บภาพตอนกลางคืนได้สว่างมากขึ้น แต่ยิ่งค่า ISO สูงสิ่งที่ตามมาแน่นอนคือนอยด์ ทำให้เป็นอย่างที่หลาย ๆ คนบ่นกันว่าถ่ายภาพตอนกลางคืนโซนี่นอยด์เพียบเลย เพราะมันพยายามดัน ISO ให้สูงนั้นแหละ
ส่วนสปีดชัตเตอร์จะเป็นช่วงเวลาของการเก็บแสง (ชัตเตอร์ในมือถือจะเป็น Electronic Shutter) ยิ่งปรับค่าสปีดสูงก็จะเก็บแสงได้น้อยทำให้ภาพดูมืด ถ้าปรับสปีดชัตเตอร์ต่ำก็จะมีเวลาเก็บแสงได้เยอะขึ้นช่วยให้สามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้สว่างขึ้นเพราะเซ็นเซอร์กล้องสามารถรับแสงได้มากกว่าเดิมนั่นเอง
แน่นอนการปรับสปีดชัตเตอร์ต่ำ ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น ทำให้ไม่ต้องไปดัน ISO ช่วย ภาพที่ได้จึงมีนอยส์ลดลงมาก แต่ต้องไม่ให้มีวัตถุต่าง ๆ เคลื่อนไหวในภาพนะถ้าต้องการภาพนิ่งจริง ๆ เพราะการถ่ายแบบนี้จะเป็นการเปิดชัตเตอร์ค้างไว้
แต่มันก็สามารถใช้โหมดนี้ดีไซน์ภาพเคลื่อนไหวให้ภาพนิ่ง ดูมีโมเม้นต่าง ๆ ได้อย่างที่เราเห็นกันบ่อย ก็เช่นการถ่ายรูปไฟรถวิ่งยาว ๆ การถ่ายน้ำตกให้น้ำเป็นสาย ๆ การถ่ายภาพไฟควงที่เป็นเส้น ๆ การถ่ายภาพวาดตัวอักษรไฟ หรือการถ่ายหมู่ดาวตอนกลางคืนก็ตาม
แต่สิ่งที่ต้องเตรียมในการถ่ายสปีดชัตเตอร์ต่ำ แน่นอนมือเราต้องนิ่งพอเพราะถ้ามือเราสั่นจะทำให้ภาพเบลอทันที แต่โซนี่ปรับสปีดชัตเตอร์ได้ต่ำสุดแค่ 1 วินาที ความจริงผมว่าแค่กลั้นหายใจตอนกดถ่ายก็พอช่วยให้มือเรานิ่งพอที่จะถ่ายภาพในจังหวะนั้นได้อยู่นะ แต่ถ้าเอาชัวร์ ๆ หาขาตั้งกล้องคู่ใจไว้ถ่ายภาพสักอันก็ดีนะครับ 🙂
แต่ก็ยังมีข้อเสียนึง เพราะ Manual ของโซนี่มันไม่สุด (ไม่เคยสุดซักที) เพราะปกติเวลาเราปรับสปีดชัตเตอร์ต่ำ มันจะรับแสงเขาได้เยอะทำให้ภาพสว่าง ส่วนมากจึงนิยมปรับ ISO ให้ต่ำ ๆ เพื่อไม่ให้ภาพสว่างเกินไปแต่โซนี่ไม่ได้!!! ไม่รู้ว่าจะออกซอฟแวร์มาแก้ทีหลังไหม เพราะเมื่อเราปรับสปีดชัตเตอร์ต่ำ ค่า ISO ที่เราตั้งไว้จะถูกเปลี่ยนเป็นออโต้ทันที ทำให้ผมไม่สามารถถ่ายภาพน้ำตกตอนกลางวันได้เลย :'( ไม่เป็นไรเดียวตอนเย็นเรามาถ่ายอีกที
เรามาอยู่ที่จุดเดิมกันอีกครั้งในเวลา 18:30 น. พระอาทิตย์ได้ตกดินไปและ จะเห็นได้ว่าเมื่อเราถ่ายภาพด้วยสปีดชัตเตอร์ปกติ แน่นอนความมืดแบบนี้ โหมด Superior Auto จะดัน ISO ให้สูงทำให้เกิดนอยด์ที่ภาพ และน้ำที่ได้ก็เป็นหยด ดูแข็ง ๆ ไม่สมูทเหมือนสายน้ำที่มันไหลเลย เราลองมาถ่ายที่สปีดชัตเตอร์ 1 วินาทีกันดีกว่า
หลังจากเราถ่ายด้วยสปีดชัตเตอร์ 1 วินาทีจะเห็นได้ว่าภาพสว่างขึ้นเพราะเก็บแสงได้นานขึ้น ISO ถูกดันอยู่ที่ 50 ทำให้นอยด์ในภาพไม่มีและน้ำที่ไหลก็ดูเป็นสายน้ำสวยงามมากกว่า
นอกจากสายน้ำที่ดูสวยงามแล้ว คลื่นระลอกน้ำที่เกิดจากการตกกระทบของน้ำก็ดูเรียบเนียบสวยขึ้นอีกด้วย
คราวนี้เราลองมาถ่ายที่จุดมืดไร้แสงกันบ้าง ภาพบนจะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Superior Auto กับภาพล่างที่ถ่ายด้วยสปีดชัตเตอร์ 1 วินาทีจะเห็นได้ว่าภาพล่างมีความสว่างมากกว่า จัดการนอยด์ได้ดีกว่าและเงาสะท้อนในน้ำก็ละลายสวยกับคลื่นน้ำไม่เป็นแข็ง ๆ หยัก ๆ เหมือนตอนถ่ายด้วยสปีดชัตเตอร์ปกติ
อีกสิ่งนึงที่นิยมกันคือการถ่ายภาพไฟรถวิ่งบนท้องถนน โดยให้ความรู้สึกเหมือนมีแสงเลเซอร์วิ่งไปมาบนท้องถนนดูสวยงาม ซึ่งเทคนิคเล็กน้อยในการถ่ายภาพแนวนี้คือต้องถ่ายตอนที่รถเคลื่อนตัว ยิ่งอยากได้ไฟรถวิ่งยาว ๆ ก็ต้องปรับสปีดชัตเตอร์ให้ต่ำ แต่โซนี่เราปรับได้แค่ 1 วินาที เพราะฉนั้นเราต้องเลือกถ่ายในจุดที่รถเคลื่อนไหวได้ไม่ช้าจนเกินไป (อย่าเผลอไปถ่ายแถวที่รถติดเชียวล่ะ) โดยในภาพเราได้เลือกจุดที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยถ้าเราอยากได้ไฟสีขาวเราก็ต้องเลือกถ่ายในมุมมองที่รถวิ่งสวนเข้ามา หรือถ้าเราอยากได้เส้นสีแดงหรือสีอื่น ๆ ก็ต้องเลือกถ่ายในจุดที่รถกำลังจะวิ่งออกไปเพื่อเก็บไฟท้ายรถนั้นเอง ลองดูภาพถ่่ายทั้งหมดได้ในอัลบั้มด้านล่างได้เลยครับ
อันนี้จะเป็นตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง โดยจะถ่ายที่เต็มความละเอียด 23MP ด้วยโหมด Superior Auto ทั้งหมด โดยเน้นการถ่ายแบบ Point to shoot เพื่อให้ภาพที่ได้อยู่ในรูปแบบผู้ใช้ทั่วไปถ่ายกันมากที่สุด
รูปภาพจากกล้องหลัง ถ่ายที่ความละเอียด 23MP โหมด Superior Auto (ภาพถูกย่อลงละบันทึกที่ Quality 8-9 ใน Photoshop)
โดยถ้าอยากดูภาพต้นฉบับที่ไม่โดนลดรายละเอียดสามารถเข้าไปโหลดได้ ที่นี่ เลยครับ
กล้องหน้าขนาด 13MP ใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS™ สามารถดัน ISO สูงสุด 6400 ในที่แสงน้อย เลนส์กว้าง 22mm ทำให้สามารถถ่ายภาพได้กว้างกว่าเดิม และมาพร้อมค่า f 2.0 ทำให้สามารถถ่ายในที่มืดและละลายหลังได้ดีกว่าเดิม
กล้องหน้าของ XPERIA XZ มีโหมดออโต้โฟกัสเพิ่มเข้ามาช่วยให้การเซลฟี่ด้วยกล้องหน้ามีมิติมากขึ้น สามารถเลือกแบบทัชโฟกัสได้ นอกจากนั้นยังมีโหมดช่วยถ่ายอย่าง Smile Shutter ที่จะทำการถ่ายภาพตอนเรายิ้มหรือใช้วิธีการยกมือถ่ายแบบ Hand Shutter ก็ได้
ภาพเปรียบเทียบถ่ายในที่แสงน้อยกับสภาพแสงปกติจะเห็นความต่างของสีผิวและนอยด์อย่างเห็นได้ชัด ถ้าแสงเพียงพอกล้องหน้าของ XPERIA XZ จะให้สีที่คมชัดสมจริงดีกว่าตัวก่อนอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอัลบั้มด้านล่างจะเป็นรวมภาพถ่ายจากกล้องหน้าที่สภาพแสงต่าง ๆ
รูปภาพจากกล้องหน้า ถ่ายที่ความละเอียด 13MP โหมด Superior Auto (ภาพถูกย่อลงละบันทึกที่ Quality 9 ใน Photoshop)
วีดีโอนับเป็นจุดเปลี่ยนอีกขั้นของ เพราะมีการเปิดตัวระบบกันสั่น 5 แกนตัวแรกของโลก (5-axis stabilization) แต่ยังเป็นแบบ EIS (กันสั่นด้วยชอฟแวร์) ไม่ใช่ OIS แต่อย่างใด โดยจะทำงานเต็ม 5 แกนที่โหมด Macro ในวีดีโอเท่านั้น ส่วนการถ่ายวีดีโอปกติยังเป็นกันสั่นแบบ 3 แกนอยุ่ โดยสามารถเปิดใช้กันสั่นแบบ Intelligent Active ได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080P 30FPS ถ้าสูงกว่านี้จะเปิดได้แค่กันสั่นแบบ Standard ด้านล่างจะเป็นวีดีโอตัวอย่างการถ่ายวีดีโอที่สภาพแสงต่าง ๆ ยามเช้า, Indoor และ Macro ให้ดูกันนะครับ
จากเท่าที่ทดลองการถ่ายวีดีโอในกล้องหน้าก็ได้อานิสงค์จาก SteadyShot 5-axis ด้วยเช่นกันทำให้ภาพที่ได้นิ่งและสมูทกว่าเดิม
อีกจุดเด่นเลยก็คือการทำ Clear Image Zoom หรือก็คือ Digital Zoom ดีๆนี่แหละ แต่ Sony การันตีว่าสามารถซูมถ่ายภาพได้โดยไม่เสียรายละเอียดในการซูม โดยสามารถซูมได้ถึง 5 เท่าโดยไม่เสียรายละเอียด ซึ่งจากการลองถ่ายแล้วก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Clear Image Zoom ที่เก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ โดยทุกภาพที่ถ่ายมาไม่ว่าจะที่ 3X Zoom หรือ 5X Zoom ก็จะได้ไฟล์ภาพที่เต็มความละเอียดตามที่ตั้งไว้
นอกจากนั้นโซนี่ยังมีแอปกล้องต่าง ๆ ให้เล่นอีกมากมาย เราจะมายกตัวอย่างซัก 2 แอปและกัน แอปแรกเป็นแอปที่โซนี่ถอดออกไปจากตัวเครื่องต้องไปโหลดมาเพิ่มซึ่งผมไม่แน่ใจว่าถอดออกทำไม ในขณะที่หลาย ๆ แบรนด์เริ่มมาโปรโมตเรื่องการละลายฉากหลัง อย่างแอป Background Defocus แต่การใช้งานอาจยุ่งยากนิดนึงตรงที่วัตถุที่จะถ่ายกับฉากหลังต้องวางอยู่ห่างกันระยะนึงและวัตถุต้องไม่เคลื่อนไหว ยิ่งฉากหลังกับวัตถุมีความต่างกันของโทนสีมากเท่าไรก็จะยิ่งละลายได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้นสามารถเลือกการละลายว่าจะเป็นการเฟดกล้องในแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้
อีกแอปที่อยากแนะนำก็คงเป็น AR Effect ที่จะช่วยสร้างสรรค์ให้ภาพถ่ายธรรมดาของเรามีลูกเล่นอะไรมากขึ้น โดยหลัง ๆ มี AR ให้เลือกโหลดมากมายและส่วนมากก็ซัพพอร์ตลูกเล่นในกล้องหน้าด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีแอปอย่าง Sweep Panorama, Timeshift Burst ที่จะถ่ายภาพทั้งหมด 50 ภาพใน 3 วินาทีและให้เรามาเลือกภาพที่ดีที่สุด, Timeshift Video ที่จะทำให้เราสามารถสร้างวีดีโอสโลว์โมชั่นเท่ ๆ ได้ ฯลฯ
ในส่วนของซอฟแวร์ XPERIA XZ มาพร้อมกับ Android 6.0.1 Marshmallow อยู่ การใช้งานต่าง ๆ ยังคงคล้ายกับรุ่นก่อน UI ถูกดีไซน์ให้คล้ายกับ Pure Google มากยิ่งขึ้น เราไปดูกันดีกว่าว่าซอฟแวร์ส่วนต่าง ๆ มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
หน้า Lock Screen ยังคงเป็นสไตล์ XPERIA X ซีรี่ย์อยู่เหมือนเดิม เน้นความเรียบและใช้นาฬิกาโปร่งใสของหน้าจอเป็นจุดเด่นแทน แต่ถ้าเปลี่ยนรูป Lock Screen นาฬิกาก็จะกลับมาเป็นแบบปกติ หน้า Home Screen ยังเป็นรูปแบบเดิม สามารถกดค้างเพื่อจัดการเพิ่ม/ลบหน้าหรือเพิ่ม Widget การตั้งค่าต่าง ๆ ของ Home Screen สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากส่วนนี้ สามารถตั้งค่าให้เลื่อนซ้ายสุดเป็น Google Now ได้
App drawer จะคงรูปแบบไอคอนที่ 4×5 ปัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนหน้าแอพ Search app จะอยู่ด้านบน ด้านซ้ายสุดจะเป็นส่วนของการค้นหาแอปและแนะนำแอปที่เราน่าจะใช้ แถบ Notification ยังคงรูปแบบคล้ายเดิม สามารถเลือนลงมาอีกครั้งเพิ่งเข้าสู้หน้า Quick Setting ได้ นอกจากนี้เวลาที่เราเสียบสาย USB Type-C กับอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากโหมด Charging only, Transfer files(MTP) และ MDI แล้วยังเพิ่มเมนูใหม่คือ Power supply สำหรับให้มือถือเราเป็นตัวจ่ายไฟให้อุปกรณ์อื่นได้อีกด้วย
Contact และโทรศัพท์ยังคงรูปแบบเดิมไว้ สามารถ Sync รายชื่อจากบัญชี Gmail ของเราลงมาได้ สามารถเพิ่มชื่อ หรือมาร์ค Favorites คนที่โทรหาบ่อยหรือจะตั้งกลุ่มรายชื่อ ส่วนคีย์บอร์ดในเครื่องจะเป็นแอป Swiftkey โดยมีข้อดีที่ปรับขนาดคีย์บอร์ดได้, แถบเดาคำ และจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ จากที่เราพิมพ์และคอยแก้ไขให้ถูกต้องตลอด, สามารถ Cut หรือ Copy คำที่เราใช้งานบ่อยปักหมุดไว้ได้ด้วย สะดวกไม่ต้องคอยพิมพ์ซ้ำ และสามารถเปลี่ยนธีมคีย์บอร์ดได้ด้วย แอป Email สามารถ Sync อีเมล์ต่าง ๆ ได้
Music การใช้งานยังคล้ายเดิม สามารถเลือนนิ้วจากมุมซ้ายเพื่อเข้าสู่เมนูต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Play queue, Albums, Song, Playlist หรือ Setting โดยสามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลเพลงผ่าน Download Music info ได้ ในส่วนของ Audio Settings จะเป็นการเลือกเปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น DSEE HX, ClearAudio+, Dynamic normaliser, S-Force Front Surround ในส่วนของ Sound Effect สามารถเลือกตั้งค่า Equalizer หรือเลือกระบบเสียงต่าง ๆ ของหูฟังได้ ในส่วนของ Accessory จะเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น Noise cancelling, LDAC, Mic sensitivity และสามารถตั้งค่า Sleep timer ได้แล้ว
Album ยังคล้ายเดิมอยู่ โดยสามารถเลือกดูภาพโดยรวมหรือแยกดูแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้ การเลือกดูรูปหลายรูปหรือทีละ 3 รูป 2 รูปในหนึ่งแถวทำได้ง่ายเพียงแค่ลากนิ้วกางเข้า/ออก หรือสามารถเลือกดูภาพแบบ Slideshow ก็ได้ รองรับการแชร์ภาพกับ Facebook, Picasa และ Flickr รองรับฟีเจอร์ Home Network
Photo Editior อีกแอปติดเครื่องที่เราอาจลืมกันไป สามารถปรับแต่งรูปได้มากกว่าเดิม มีการใส่ Filter หรือลูกเล่นต่างๆเพิ่มเข้ามา การแก้ไขรูป Crop, Flip, Rotate สามารถทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถใส่เอฟเฟคต่างๆได้และทำ Collect ได้ด้วย
Video สามารถตั้งค่าให้เล่นแบบ Background playback และเปิด Subtitle ได้ และได้เพิ่ม Home Network เข้ามาในแอปเลย ด้านการตัดต่อวีดีโอยังมาพร้อมกับแอป Movie Creator เพื่อสามารถสร้างวีดีโอสไลด์ภาพเกร๋ ๆ โชว์เพื่อนก็ได้ ผมชอบฟังก์ชั่นที่มันจะจับภาพทุก 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือนมาทำวีดีโอให้เราได้ดู
ถัดมาเป็นแอปหลักที่มากับโซนี่อย่าง What’s New ทำหน้าที่อัพเดทข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับ XPERIA ถัดมาเป็นแอป Play Station สำหรับใครที่มี Play Station 4 สามารถใช้ในการดู PSN ใช้มือถือเป็นจอตัวที่ 2 สำหรับเกมที่รองรับหรือใช้งานฟังก์ชั่น PS4 Remote Play เพื่อนำเกมมาแสดงผลบนมือถือก็ได้ ส่วน Weather จะเป็นการรายงานสภาพอากาศ และ NewSuits
Calander ได้เพิ่มลายกราฟิกสวย ๆ และไฮไลท์วันสำคัญและคิวนัดต่าง ๆ ในแต่ละเดือน ดูสวยงามกว่าเดิม Calculator ได้เพิ่มฟังก์ชั่นวิทยาศาสตร์เข้ามา XPERIA Lounge สำหรับติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ จากโซนี่ และ Google Play ไว้สำหรับโหลดแอป หนังและ E-Book
Setting ถูกปรับให้หลาย ๆ เมนูที่เคยอยู่ในหมวดออกมาอยู่ด้านหน้าเลย เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง และเพิ่มกราฟฟิกสวย ๆ ขึ้นมาในแต่ละเมนูเพื่อสื่อให้เราเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น เช่นการเลือกโหมดแสดงผลของหน้าจอที่จะมีรูปและคลิปเปรียบเทียบให้ดูกันไปเลยว่า X-Reality for mobile หรือ Super-vivid mode ระหว่างเปิดกับปิดให้ภาพต่างกันยังไง Smart backlight control ที่จะคอยจับความเคลื่อนไหวของสายตาผู้ใช้ เพื่อไม่ให้หน้าจอดับแม้จะไม่มีการสัมผัสหน้าจอนั่นเอง
เจอร์ใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ Smart cleaner ที่จะเพิ่มความฉลาดในการจัดการแรม โดยจะช่วยปิดโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้นาน และกำจัดไฟล์ขยะและ cache ต่าง ๆ RAM 3GB โดยผมได้ลองลงแอปใช้งานตามปกติทั่วไปจะเหลือใช้ประมาณ 600MB แต่สำหรับรอมโซนี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะอืดแน่นอนครับ ส่วน ROM 64GB ของโซนี่นั้นหักจาก System ไปจะเหลือใช้งานอยู่ที่ 50GB ครับ และยังมีเมนูน่ารัก ๆ ชื่อ Introduction to Xperia สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งใช้งานสามารถดูวิธีการใช้งานต่าง ๆ ได้จากในนี้ครับ
Battery ยังคงมาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA Mode เช่นเคย โดยมีทั้งแบบธรรมดาและ Ultra STAMINA mode สำหรับการประหยัดแบตสุดขีดอีกด้วย แต่มันจะตัดการเชื่อมต่อทุกอย่างทำให้เราเหมือนแค่ใช้โทรศัพท์โทรเข้าออกได้เฉย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก STAMINA Level ได้ด้วย โดยมีทั้งหมด 3 ระดับด้วยกันคือ
- Battery time preferred จะปิดการทำงานเกือบทุกอย่าง คล้าย ๆ กับ Ultra STAMINA Mode แต่จะยืดแบตได้ยาวนานที่สุด
- Balanced power saving จะทำการปิดแค่บางฟีเจอร์เท่านั้น แต่ยังใช้งานโดยรวมทั่วไปได้ปกติอยู่ อาจลดความแรงของเครื่องลงนิดหน่อย
- Device performance preferred จะปิดการทำงานแค่บางฟังก์ชั่นเท่านั้น แต่จะประหยัดแบตน้อยสุดใน 3 ระดับที่เกริ่นมา
และได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้ามาคือ Qnovo Adaptive Charging โดยสามรถเลือกเปิด-ปิดการใช้งานโหมดนี้ได้ที่เมนู Battery Care ได้เลย โดยเทคโนโลยีที่ว่านี้จะช่วยถนอมแบตในกรณีที่เราชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน มันจะไม่ชาร์จให้เต็ม 100% เลยแต่จะคงไว้ที่ 90% ก่อนแล้วพอถึงเวลาประจำที่เราใกล้ตื่นจึงจะชาร์จให้เต็ม 100%
การปลดล็อคสามารถตั้งได้ทั้งแบบ Swipe, Pattern, PIN หรือจะเป็นการสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้ โดยถ้าเราสแกนพลาด 5 ครั้งจะเข้าสู่หน้าล็อกแบบ PIN ให้เราใส่รหัสที่เรากรอกไว้ตอนเปิดโหมดสแกนนิ้วครั้งแรก โดยสามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือด้วยกัน และฟังก์ชั่นติดตามเวลาเครื่องสูญหายอย่าง my Xperia ฟังชั่นช่วยเหลือในการใช้งานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โหมด TalkBack สำหรับผู้พิการหรือการจัดการอะไรยิบย่อยเช่นกดปุ่ม Power เพื่อวางสายหรือเล่นเสียงเมื่อแบตเต็มสามารถเปิด/ปิดการใช้งานได้ที่ Accessibility
XPERIA XZ ยังคงทำหน้าที่ต่อยอดเรือธงท้ายปีได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยฟีเจอร์กล้องถ่ายรูปที่เพิ่มเข้ามา ช่วยให้สามารถถ่ายและดีไซน์ภาพได้กว้างกว่าเดิม การใช้งานทั่วไปสามารถตอบโจทย์ได้ดี ปุ่นสแกนนิ้วกดง่ายขึ้นมาก แน่นอนปุ่มชัตเตอร์ก็เช่นกัน สามารถกดโฟกัสและถ่ายได้โดยแทบไม่ต้องออกแรง ทำให้ภาพที่ได้จากการกดปุ่มมีโอกาศเบลอน้อยลง สามารถถือถ่ายภาพมือเดียวได้สะดวก กล้องหน้าที่ถูกพัฒนาขึ้นสามารถถ่ายในที่แสงน้อยโดยที่ยังเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีความร้อนกล้องเมื่อใช้ไปนาน ๆ ยังมีขึ้นเตือนให้เห็นบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าปิดตัวเลย เท่าที่ผมลองถ่ายรูป ถ่ายคลิปไปพักใหญ่ ก็จะขึ้นเตือนแค่ว่าเครื่องร้อนอยู่ ฟังก์ชั่น Predictive Hybrid AutoFocus จะไม่สามารถใช้งานได้ การถ่ายรูปยังมีการ Process ที่ใช้เวลาอยู่ (ที่หมุนติ้ว ๆ หลังถ่ายนั่นแหละ) แต่เราสามารถกดถ่ายรัว ๆ ได้แล้ว ไม่ต้องรอให้มันประมวลภาพเสร็จแล้วถึงถ่ายรูปต่อไปได้แบบเมื่อก่อน ผมลองกดรัว ๆ มันจะถ่ายได้ประมาณ 5-8 ภาพก่อนจะเริ่มกดชัตเตอร์ได้ช้าลง
วัสดุและงานประกอบดูแน่นหนา ดีไซน์แบบ Loop Surface นั้นทำให้การถือใช้งานกระชับมือขึ้น วัสดุ ALKALEIDO™ สร้างความพรีเมี่ยมให้กับตัวมือถือได้อย่างดี สะท้อนเงาเป็นเฉดสีได้สวยงาม แต่มีข้อเสียที่ยังเป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายอยู่ ถึงจะเห็นไม่ชัดแบบ XPERIA X Compact ก็เถอะ แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ 1 วันเต็ม ๆ ในการใช้งานแบบทั่วไปไม่เล่นหนักมาก โดยหลัง ๆ โซนี่จะไม่พรีเซ็นต์เรื่อง STAMINA Mode แล้วแต่จะไปพรีเซ็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี Qnovo Adaptive Charging ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตให้ยาวนานขึ้น จากที่ผมลองใช้งานผมว่าแบตอึกกว่า XPERIA Z5 อย่างเห็นได้ชัด จะมีช่วงที่กดถ่ายรูปรัว ๆ ที่แบตจะลดลงเร็วจนเห็นได้ชัด
สำหรับเครื่องที่ขายในไทยตอนนี้จะมีสี สีดำ Mineral Black, สีเงิน Platinum และสีใหม่ล่าสุด สีน้ำเงิน Forest Blue โดยมีราคาขายอยู่ที่ 23,990 บาท
- ประทับใจสุดๆ
- ดีจังเลย
- โกรธสุดๆ
- เฉยๆ อ่ะ
- รู้สึกหดหู่
พ่อค้าเคสโซนี่แห่งประเทศไทย