coverxper_review

หลังจากงาน IFA2015 ที่ผ่านมาโซนี่ได้สร้างเสียงฮือฮาจากการเปิดตัว Xperia Z5 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสแกนลายนิ้วมือหรือเซ็นเซอร์กล้องตัวใหม่ที่มีความไวโฟกัสเพียง 0.03 วินาที แต่กลับใช้ CPU เจ้าปัญหาความร้อนอย่าง Snapdragon 810 ซึ่งสร้างปัญหาความร้อนให้กับ Xperia Z4 มาแล้ว แต่ก็ได้รับการแก้ไขทางด้านฮาร์ดแวร์โดนการเพิ่มฮีทไปป์คู่ใน Xperia Z5 ทำให้หมดปัญหาเรื่องความร้อนในการใช้งานไป หลังจากผ่านไปไม่นานก็มีข่าวลือเกี่ยวกับการมาของมือถือโซนี่ที่จะใช้ CPU ตัวท็อปอย่าง  Snapdragon 820 ที่แรงขึ้นกว่าเดิมและไม่มีปัญหาความร้อนแล้ว

ในงาน MWC2016 ที่ผ่านมาก็ได้ทำการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่และ ซีรี่ย์ใหม่ด้วย!!! ยกเลิกความเป็น Z แล้วหันกลับไปต่อยอดตระกูล X แทน ซึ่งเปิดตัวมาทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันคือ Xperia XA, Xperia X และเรือธงที่เราจะมารีวิวในวันนี้คือ Xperia X Performance ครับ

lineunboxxpb

IMG_0991

โดยเครื่องที่เราจะเอามารีวิวเป็นเครื่องจาก HK นะครับ กล่องของ Xperia X Performance จะมาในรูปแบบกล่องแข็งอย่างดีแบบ Xperia Z5 Premium และถูกทำให้ขนาดเล็กลงพอดีกับตัวเครื่อง สีของกล่องจะมาในธีมพู่กันอันสวยงามของ X Series อุปกรณ์ต่างๆจะถูกเก็บไว้ในกล่องอีกที เครื่องที่เราได้มามาพร้อมกับ Adapter UCH10 Quick Charge และสาย Micro USB UCB11 ส่วนหูฟังเป็น Earbud MH410C ซึ่งต้องรอดูเครื่องไทยอีกทีว่าจะได้ UCH10 เหมือนกันไหม

linedesignxpb

IMG_0995

Xperia X Performance ยังคงมาพร้อมดีไซน์แบบ Omnibalance โดยได้มีการปรับรูปทรงเครื่องให้มีความโค้งมนมากยิ่งขึ้น มาพร้อมหน้าจอกระจกโค้ง 2.5D ที่จะทำให้จับได้กระชับมือขึ้นไม่รู้สึกว่ามีขอบเครื่องโดนมือแบบ Xperia Z5 ด้านหน้าจะคล้ายกับ Xperia Z3 หน้าจอถูกลดขนาดลงมาเล็กน้อยจาก 5.2 นิ้วมาอยู่ที่ 5 นิ้ว ใช้หน้าจอ IPS ความละเอียด Full HD (มีความละเอียดที่ 441 ppi) มาพร้อมเทคโนโลยี TRILUMINOS Display โดยจะมีลำโพงคู่ Stereo ล่างและบน ด้านบนจะเป็นกล้องหน้าขนาด 13MP 1/3” Exmor™ RS โดยได้ทำการย้ายตำแหน่ง NFC มาอยู่บริเวณข้างกล้องหน้าแทน ซึ่งผมว่าใช้งานได้ลำบากกว่าเดิมหรือยังไม่ชินก็ไม่แน่ใจ ฮ่า แต่การแตะบีมรูปลำบากกว่าเดิมเพราะเวลาวางเครื่องนิ้วคอยจะไปชนหน้าจอ (-_-“) โดยสีของกรอบหน้าจอด้านหน้าจะไม่ใช่สีดำ แต่จะเป็นสีตามสีของตัวเครื่อง ถ้าเครื่องสีชมพูกรอบหน้าจอก็จะชมพูด้วย อย่างเครื่องที่ได้มารีวิวจะเป็นสีดำกราไฟท์ ก็จะเห็นว่าสีของกรอบหน้าจอก็จะไม่ใช่โทนดำสนิทซะทีเดียว จะออกเป็นสีดำกราไฟท์เช่นกัน
IMG_0996

มาดูด้านหลังเครื่องกันบ้างเนื่องจาก Xperia X Performance ได้เปลี่ยนวัสดุด้านหลังจากกระจกที่เคยเป็นมาใน Xperia Z Series เป็นแผ่นหลังอลูมิเนียมแทน ทำให้ตัวเครื่องเรียกได้ว่าเป็น Metal Unibody เลยก็ว่าได้ โดยอีกหนึ่งจุดเด่นของ Xperia X Performance เลยก็คือฝาหลังอลูมิเนียมแบบขัดเงานี่แหละ

IMG_1029

ซึ่งผมว่ามันสวยใช้ได้เลยล่ะ 🙂 ดูหรู แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องรอยขีดข่วนตามมา แต่หลังจากที่ลองใช้งานวางตามโต๊ะทั่วไปที่พื้นผิวต่างๆก็ยังไม่พบริ้วรอย (ยังไม่เคยลองสไลด์กับพื้นดูเหมือนกัน) ด้านหลังจะไม่มีโลโก้โซนี่อีกต่อไป โดยมีแค่โลโก้ XPERIA สลักไว้ที่ด้านหลังแทนและเนื่องจากฝาหลังเป็นแบบอลูมิเนียมทำให้สัญญาณ NFC ไม่สามารถผ่านได้จึงต้องย้ายตำแหน่งไปอยู่ด้านหน้า ด้านหลังจึงเหลือแค่กล้องกับ LED Flash เท่านั้น

IMG_1054

กล้องหลังความละเอียด 23 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3” Exmor™ RS มาพร้อมกับเทคโนโลยี Predictive Hybrid Autofocus โดยจะทำการโฟกัสตามวัสถุที่เคลื่อนไหวและคำนวนการโฟกัสล่วงหน้าได้ ทำให้เราสามารถถ่ายวัตถุที่เคลือนไหวได้โดยไม่เบลอนั่นเอง โดยตัวเลนส์โดยจะมีขอบอลูมิเนียมล้อมรอบตัวเลนส์อย่างสวยงาม เซ็นเซอร์ที่ใช้จะเป็นตัวเดียวกับ Xperia Z5 แต่ LED Flash ได้ถูกปรับปรุงให้สว่างขึ้นมากกว่า Xperia Z5

IMG_1017

ด้านข้างด้านขวายังเป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือเช่นเคย โดยมีความไวในการสแกนเร็วกว่า Xperia Z5 เรียกได้ว่าถ้าจอดับอยู่เมื่อกดปุ่ม home แทบจะปลดล็อคเข้าเครื่องโดยไม่เห็นหน้า Lock Screen เลย และมีความแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าเราจะวางนิ้วในอิริยาบถไหน ก็สามารถปลดล็อคได้และหมดปัญหามือเปียกหรือมัน เนื่องจากผมเป็นคนนิ้วมันง่ายและมีปัญหากับ Xperia Z5 ที่ต้องเช็ดนิ้วให้แห้งก่อนค่อยสแกน แต่ปัญหานี้หมดไปใน Xperia X Performance ปุ่ม เพิ่ม/ลดเสียง ยังถูกวางต่ำลงจากตำแหน่งปุ่ม power เช่นเคย โดยวางใกล้กับตำแหน่งปุ่มชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป

เมื่อเครื่องดับอยู่สามารถเข้าสู่โหมดกล้องทางลัดได้จากปุ่มชัตเตอร์ด้วยการกดค้าง โดยใน Xperia X Performance สามารถถ่ายรูปอย่างรวดเร็วจากโหมดนี้ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 0.6 วินาทีเท่านั้น ทำให้คุณไม่พลาดช็อตสำคัญเวลาที่จะรีบถ่ายภาพบางภาพ

IMG_1023

ด้านบนเครื่องเป็นพอร์ตแจ็คหูฟังขนาด 3.5mm ข้างพอร์ตเป็นตำแหน่งไมค์ตัวที่ 2 สำหรับบันทึกและตัดเสียงรบกวน

IMG_1034

ด้านซ้ายเป็นตำแหน่งถาดใส่ NanoSIM และ MicroSD Card จะเป็นถาดเดียวกันซึ่งช่วยประหยัดเนื้อที่ โดยในรุ่น 2 SIM ถาด SIM 2 จะเป็นช่องแบบไฮบริดคือเลือกว่าจะใส่เป็น MicroSD Card หรือ SIM2 ดี โดยตัวพอร์ตปิดจะติดกับถาดเลย ถ้าเปิดพอร์ตออกมาเครื่องจะรีสตาร์ทอัตโนมัติ ส่วนด้านล่างไม่มีสลักโลโก้ XPERIA แบบ Xperia Z5 แล้ว

IMG_1036

Xperia X Performance เวอร์ชั่น 2 SIM นั้นรองรับ รองรับ Full NetCom 3.0 เกาะสัญญาณ 3G ได้พร้อมกัน 2 ซิม ทำให้ซิมที่สแตนด์บายอยู่สามารถจับสัญญาณ 3G ได้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ในสมาร์ทโฟน 2 ซิมทั่วไป ซิมที่ถูกตั้งเป็นซิมรองอยู่จะจับสัญญาณได้เพียง 2G เท่านั้น ดังนั้นหากซิมรองเป็นซิมของเครือข่ายที่มีแต่สัญญาณ 3G จะทำให้สัญญาณหายไปเลย แต่ถ้านำมาใช้บน Xperia X Performance ต่อให้เป็นซิมรอง ก็จะยังคงมีสัญญาณและผู้อื่นยังสามารถโทรเข้าได้อยู่

IMG_1018

ด้านล่างเป็นพอร์ต MicroUSB แบบกันน้ำ และตำแหน่งไมค์สนทนา และที่ขาดหายไปคือไม่มีรูร้อยสายคล้องแล้ว T_T มุมเครื่องจะเป็นวัสดุเดียวกับโครงอลูมิเนียมรอบเครื่อง ไม่มี Nylon Caps ปิดมุมแบบ Xperia Z3 – Z5 แล้ว

IMG_1063

ลำโพงของ Xperia X Performance จากที่ลองฟังผมรู้สึกว่ามันให้เสียงที่ดังกว่า Xperia Z5 และเสียงร้องแยกชัดเจนกว่า (Xperia Z5 เสียงร้องจะดูอู้ๆไปหน่อย) โดยเมื่อเครื่องลงน้ำสามารถสลัดๆให้น้ำออกและใช้งานเสียงต่อได้เลย โดย Xperia Z5 ต้องสลัดแล้วปล่อยไว้ซักพักเสียงถึงจะกลับมาเหมือนเดิม

IMG_0958

linehandfxpb

IMG_0943

มาดูเรื่อง Hardware กันบ้าง โดย Xperia X Performance จะมาพร้อมกับ CPU Snapdragon 820 ใช้ชิปประมวลผลแบบ 64-bit quad-core ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ต่อยอดมาจาก 810 แต่แรงขึ้นและแก้ปัญหาความร้อนได้แล้ว (ไม่แน่ใจว่าใส่ฮีทไปป์คู่แบบ Xperia  Z5 ไหม) โดยมาพร้อมกับ GPU Adreno 530 ซึ่งสามารถรองรับเกมกราฟิกสูงๆสมัยนี้ได้สบาย และไม่ใช่แค่ความแรงเท่านั้น Snapdragon 820 ยังทำการประมวลผลภาพดีขึ้น ชิปเสียงและการประหยัดพลังงานที่ดีขึ้น และไม่ใช่แค่ความแรงเท่านั้น Snapdragon 820 ทาง Sony Mobile ยังเคลมว่ามันช่วยให้การประมวลผลภาพถ่ายดีขึ้นกว่าบน Xperia X เล็กน้อยอีกด้วย

RAM 3GB มาพร้อมกับพื้นที่ภายใน 64GB สำหรับรุ่น Dual SIM และความจำภายใน 32GB สำหรับรุ่นซิมเดียว โดยให้แบตเตอรี่มาที่ 2700 mAh มาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงาน STAMINA mode ทำให้สามารถใช้งานได้ 2 วันสบายๆ โดยตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android M (6.0.1) รองรับ microSD™ สูงสุดถึง 200 GB

โดยตัวเครื่องมีขนาด 143.7 x 70.5 หนา 8.6 มม. น้ำหนักอยู่ที่ 165 กรัม (Xperia Z5 หนัก 154 และ Xperia X หนัก 152 กรัม)

IMG_5400

การกันน้ำหลังจากโซนี่ได้หยุดโปรโมทเรื่องการกันน้ำออกไปใน Xperia X Series จนตอนแรกเราคิดว่าจะไม่มีรุ่นกันน้ำอีกต่อไปแล้ว แต่ล่าสุดโซนี่ได้ยืนยันแล้วว่า Xperia X Performance ยังมีความสามารถในการกันน้ำแน่นอน ที่มาตราฐาน IP65/IP68

IMG_1068

หน้าจอได้ลดขนาดลงมาโดยปกติเรือธงโซนี่จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.2 นิ้ว แต่ใน Xperia X Performance ได้ทำการลดขนาดหน้าจอลงเหลือ 5 นิ้ว แต่ความละเอียดยังเป็น Full HD เช่นเคย โดยจะมาพร้อมกับหน้าจอกระจกโค้งมนชนิดจอเป็นแบบ IPS มาพร้อมเทคโนโลยี Triluminos Display ที่จะช่วยเพิ่มการแสดงสีบนหน้าจอให้มีความละเอียดมากขึ้นกว่าหน้าจอปกติ ทำให้สีที่ได้มีความสมจริงยิ่งขึ้น และยังมีการแต่งโทนสีด้วยซอฟแวร์ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 ตัวด้วยกันคือ X-Reality for Mobile ช่วยปรับปรุงคุณภาพในการดูภาพถ่ายและวิดีโอหลังการถ่าย ช่วยให้ภาพที่ได้ใสขึ้น คมชัดขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วนอีกโหมดคือ Super-Vivid mode จะเป็นการย้อมสีภาพให้สดขึ้นเหมาะกับใครที่ชอบสีสดๆ

IMG_5414a

เปรียบเทียบหน้าจอที่ความสว่างสูงสุดของ Xperia X Performance (บน) และ Xperia Z5 (ล่าง) จะเห็นได้ว่าทั้งคู่มีรายละเอียดหน้าจอที่คล้ายกัน แต่เมื่อปรับความสว่างที่ 50% Xperia X Performance จะมีความสว่างมากกว่า

IMG_1083

ด้านเสียงยังรองรับการเล่นไฟล์ High-Resolution Audio (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) รองรับ bitrate/sampling rate สูงสุด 24bit/192kHz และด้วยเทคโนโลยี LDAC ที่ถูกเพิ่มเข้ามาทำให้สามารถเล่นเพลงแบบไร้สาย (Wireless) ได้ความละเอียดสูงสุด 24bit/96kHz ซึ่งสามารถใช้กับหูฟังที่รองรับเทคโนโลยี LDAC เท่านั้นถึงจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ และยังมีฟังก์ชั่น DSEE HX ที่สามารถดึงความละเอียดของเสียงในไฟล์เพลงที่มีความละเอียดต่ำจากการบีบไฟล์ ให้มีความละเอียดชัดตามเดิมได้นั่นเอง

รองรับเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน Digital Noise Cancelling เมื่อใช้งานกับหูฟังที่รองรับเทคโนโลยีนี้ นอกจากนั้นก็ยังมีฟีเจอร์ Clear Audio+, S-Force Front Surround, Auto-headset compensation, Stereo Recording ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

IMG_5420

มาพร้อมกับเทคโนโลยี Quick Charge 2.0 ที่ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็วในช่วง 0-80% เมื่อชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ที่รองรับ ซึ่งถ้าใครกลัวแบตเสื่อมเนื่องจากเทคโนโลยีชาร์จเร็วล่ะก็ Xperia X Performance ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Qnovo Adaptive Charging ที่จะคอยตรวจสอบและปรับกระแสไฟให้เหมาะสมกับการชาร์จเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

IMG_5462

ด้านประสิทธิภาพคงไม่ต้องบอกอะไรมากสำหรับ Snapdragon 820 การใช้งานต่างๆ เล่นเกมสมัยนี้ได้อย่างสบาย ส่วนความร้อนผมว่ามีความร้อนน้อยกว่า Xperia Z5 น่าจะด้วยวัสดุฝาหลังที่เปลี่ยนเป็นอลูมิเนียมแทนกระจก โดยได้ลองเล่น Modern Combat และ CSR2 เป็นเวลานานๆก็ไม่พบว่าร้อนมากมาย ยังสามารถถือเล่นได้สบายๆ แต่ยังมีปัญหาความร้อนกับโหมดกล้องอยู่ พบว่าใช้ถ่ายไปนานๆจะขึ้นแจ้งเตือนเรื่องความร้อนบ้างและอาจปิดการทำงานของ Predictive Hybrid AutoFocus แต่ก็ไม่ถึงกลับกล้องปิดตัว ซึ่งตอนที่แจ้งเตือนยังรู้สึกว่าฝาหลังก็ไม่ได้ร้อนมาก อาจจะเป็นที่ตัวเซนเซอร์กล้องอาจยังระบายความร้อนไม่ดีพอ

screenshotxper8

คะแนน Benchmark จากแอปต่างๆ

IMG_0930

linecameraxpb

IMG_1099

กล้องของ Xperia X Performance จะเป็นตัวเดียวกับของ Xperia Z5 มาพร้อมกับความละเอียด 23 MP ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.3” Exmor™ RS for mobile sensor ความกว้างของเลนส์ 24mm wide-angle G Lens F2.0 โดยยังคงความไวโฟกัสเร็วที่ 0.03 วินาทีเช่นเดียวกับ Xperia Z5 แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่เพิ่มขึ้นมาเลยก็คือการเข้าสู่โหมดกล้องที่ไวมาก จนถึงขั้นสามารถถ่ายภาพได้เร็วภายในเวลา 0.6 วินาที เมื่อกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ขณะที่จอดับอยู่ (Xperia Z5 จะใช้เวลา1-2 วินาที)

และโซนี่ยังได้ทำการปรับขั้นตอน Capture Sequence จากตอนก่อนที่เวลาถ่ายรูปเสร็จต้องไปผ่านกระบวนการ Post Processing ก่อนจะบันทึกลงหน่วยความจำ และถึงจะให้ผู้ใช้ถ่ายรูปต่อไปได้ ซึ่งทำให้เสียเวลา แต่ใน Xperia X Performance จะทำงานแบบคู่ขนานแทน คือย้ายขั้นตอนประมวลผลไปไว้เบื้องหลัง ทำให้เราสามารถถ่ายภาพต่อได้ในทันที ซึ่งเราจะไปดูภาพ Quick Shot ที่ได้จากทั้ง 2 รุ่นกันครับ

DSC_5014test2

ภาพนี้เทสในช่วงเวลากลางคืน แสง Fluorescent จะเห็นได้ว่า Xperia Z5 มีสภาพแสงที่สมจริงกว่า แต่ Xperia X Performance จะทำการเร่งแสงจนสว่างเกินไป แต่ยังคงเก็บรายละเอียดได้ดี

DSC_5014test3

ภาพนี้ถ่ายในสภาพแสงตอนเช้า แต่มีม่านทึบปิดไว้ จะกลับกันที่ Xperia Z5 จะได้ภาพที่สว่างกว่า แต่จะอมแสงสีม่วงนิดๆ ในขณะที่ Xperia X Performance นั้นให้ภาพที่เป็นธรรมชาติกว่า

DSC_5014test4

ทำสอบในสภาพแสงปกติจะให้ภาพที่ใกล้เคียงกัน แต่ Xperia X Performance จะให้ภาพที่มีมิติกว่า เงาจะดูลึกว่า Xperia Z5 และสีก็ดูสดกว่านิดนึงแต่โดยรวมที่สภาพแสงปกติให้ภาพที่ใกล้เคียงกัน จะต่างกันก็ที่ความเร็วในการถ่ายแล้วล่ะครับ 🙂

sonyautofocusxper

มาต่อกันที่อีกฟีเจอร์เด่นกันเลยกับ “Predictive Hybrid AutoFocus” ซึ่งจะช่วยให้เราถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่ได้อย่างคมชัดไม่มีเบลออีกต่อไป โดยจะทำการจับโฟกัสในที่ๆมีแสงเหมาะสมได้ในเวลา 0.03 วินาที (พอกับ Xperia Z5)

Screenshot_20160630-070238

โดยระบบโฟกัสแบบใหม่จะเลือกโฟกัสตามขนาดวัตถุซึ่งจากที่ลองถ่ายดูก็พบว่าการกะขนาดวัตถุต่างๆมีความแม่นยำ ถ้าถ่ายภาพบุคคลก็จะเลือกโฟกัสใบหน้าได้เต็ม ส่วนฟังชั่นเดาความเคลื่อนไหววัตถุล่วงหน้านั้น ยังไม่ถึงกับแม่นยำมากอย่างที่คิด ยังมีอาการตามวัตถุไม่ทันและบางทียังล็อกพวกวัตถุที่มีรูปทรงไม่คงที่ โมเดลเหรอบางอย่างที่เป็นวัตถุที่กลมกลืนกับฉากหลัง จะมีการผิดพลาดในการ track วัตถุเกิดขึ้นและบางทีก็เดาทิศทางเพี้ยน สามารถดูรูปแบบการทำงานได้จากคลิปด้านล่างได้เลยครับ

 

ซึ่งฟังชั่นนี้ทำให้สามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหว เช่นรถ หรือสัตว์ได้อย่างแม่นยำไม่ต้องกลัวหลุดโฟกัสมากยิ่งขึ้น ซึ่งแม้อาจจะยังไม่แม่นยำเท่าที่ควรแต่ด้วยความไวชัตเตอร์ทำให้สามารถถ่ายภาพวัตถุนั้นโดยไม่ต้องกลัววัตถุจะหลุดโฟกัส โดยหลายๆรูปที่เราลองถ่ายถือว่าโอเครกับโหมดนี้ เพราะบางทีเราเปลี่ยนมุมถ่ายก็ไม่ต้องคอยมาแตะโฟกัสใหม่เพราะโฟกัสจะล็อควัตถุที่เราเลือกไว้นั่นเอง

DSC_0490pautoxper

DSC_0341clearimagezoom

อีกหนึ่งจุดเด่นเลยก็คือการทำ Clear Image Zoom หรือก็คือ Digital Zoom ดีๆนี่แหละ แต่โซนี่การันตีว่าสามารถซูมถ่ายภาพได้โดยไม่เสียรายละเอียดในการซูม ซึ่งตั้งแต่ Xperia Z1 เป็นต้นมาสามารถซูมได้ที่ 3 เท่า แต่ตั้งแต่ Xperia Z5 และ Xperia X Series สามารถซูมได้ถึง 5 เท่า ซึ่งจากการลองถ่ายแล้วก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็น Clear Image Zoom ที่เก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ โดยทุกภาพที่ถ่ายมาไม่ว่าจะที่ 3X Zoom หรือ 5X Zoom ก็จะได้ไฟล์ภาพที่เต็มความละเอียดตามที่ตั้งไว้

 

น่าเสียดายที่โซนี่เลือกตัดการอัดวิดีโอที่ความละเอียด 4K ออกไปใน Xperia X Series ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้ ความร้อนก็ไม่น่าใช่เพราะผมรู้สึกว่าการใช้งานเวลาถ่ายวีดีโอไม่ค่อยมีความร้อนมากที่ฝาหลัง จึงสามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด Full HD (60 fps) แต่ยังคงมีโหมด SteadyShot ให้อยู่จึงทำให้ Xperia X Series แทบจะเป็นโทรศัพท์ที่ถ่ายวีดีโอได้นิ่งที่สุด โดยหลักการทำงานคือการ Crop ภาพลงมาเพื่อประมวลผลเทียบการสั่นของตัวเครื่องผ่านเซนเซอร์ Gyro เพื่อรักษาภาพในเฟรมที่เหลือให้สั่นน้อยที่สุด โดยในคลิปด้านบนเราจะเปิดเป็นโหมดกันสั่น Intelligent acive

 

สำหรับการถ่ายคลิปในตอนกลางคืน เราลองเลือกสถานที่ ที่เสียงดังและมีแสงแวปไปมาเพื่อลองดูการบันทึกเสียงและการเก็บแสงในตอนกลางคืนกัน (เข้าไปเพื่อเทสจริงๆนะ :P) การบันทึกเสียงโอเคแม้สถานที่จะเสียงดังก็ตาม ไมค์สามารถเก็บเสียงเบสได้ดีไม่มีอาการเสียงแตกแต่อย่างใด

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง ใช้โหมด Superior Auto ที่ความละเอียด 23MP (ภาพถูกปรับขนาดให้เล็กลงด้วย PS และเซฟที่ความละเอียด Quality 8-9)

ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า ใช้โหมด Superior Auto ที่ความละเอียด 13MP (ภาพถูกปรับขนาดให้เล็กลงด้วย PS และเซฟที่ความละเอียด Quality 8-9)

โดยกล้องหน้านั้นนับว่าพัฒนาจาก Xperia Z5 สามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี แต่เนื่องจากผมไม่ค่อยถนัดถ่ายกล้องหน้า และไม่ค่อยได้ถ่ายในที่แสงน้อยเลย ขอใช้เจ้า Wall-E เป็นตัวเทสให้ดูนะครับ

IMG_5437

โดยภาพนี้ถ่ายในช่วงเช้า โดยปิดม่านทึบทั้งหมด

DSC_0581a

linecameracomxpb

ส่วนภาพที่ได้จาก Xperia X Performance กับ Xperia Z5 นั้นมีรายละเอียดที่ไม่ต่างกันมาก จะมีแสงเงาบางจุดที่ Xperia X Performance ทำได้ดีกว่า เราลองไปดูภาพเปรียบเทียบกันครับ

comparisonz5xper1 comparisonz5xper2 comparisonz5xper3 comparisonz5xper4 comparisonz5xper5 comparisonz5xper6

linesoftwarexpb

IMG_0954

ในส่วนของซอฟแวร์ Xperia X Performance มาพร้อมกับ Android 6.0.1 Marshmallow การใช้งานต่างๆยังคงรูปแบบสไตล์ Sony อยู่แต่ได้มีการปรับปรุงให้มีความเป็น Material Design มากยิ่งขึ้น การใช้งานลื่นไหล ไม่มีสะดุดการเปิด/ปิด สับแอปไปมายังสามารถทำได้อย่างสะดวก ซึ่งเราไปดูรูปแบบ UX ต่างๆของ Xperia X Performance กันครับ

screenshotxper1

Lock Screen ที่เปลี่ยนรูปแบบไหมเป็นธีมขาวสะอาด(หรือเป็นสีดำแล้วแต่ธีม) โดยจะเล่นลูกเล่นกับนาฬิกาแทน โดยจะมีลักษณะเหมือนโดนเจาะให้เห็นพื้นหลัง ซึ่งก็ดูสวยงามไปอีกแบบ แต่ถ้าเปลี่ยนรูป Lock Screen แล้วนาฬิกาจะกลับมาเป็นสีปกติ ส่วนหน้า Home Screen ยังคงรูปแบบเดิม โดยจะสังเกตได้ว่าโซนี่ได้ทำการเปลี่ยนโลโก้บางส่วนให้มีลักษณะเป็นธีมกลมเข้ากับแอปมีเดียภายในเครื่อง หน้า App Drawer จะเพิ่มในส่วนของ Search App (อัพเดทใหม่ Search App จะเป็นแบบโปร่งแสงแทนนะครับ) และถ้าปัดมาซ้ายสุดจะเป็นในโซนของการแนะนำแอปที่ควรติดตั้งและแอปที่เราน่าจะใช้งาน ส่วนแถบ Notification ยังคงรูปแบบเดิมของ Android M

screenshotxper7

แถบ Notification ยังคงรูปแบบคล้ายเดิม สามารถเลือนลงมาอีกครั้งเพิ่งเข้าสู้หน้า Quick Setting ได้ โดยในหน้า Recent App จะเห็นว่าเราไม่มี Small App ใช้แล้ว :'( ส่วน Launcher ตัวนี้ของโซนี่ สามารถปรับเปลี่ยนได้มากยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนไอคอนหรือเปลี่ยนรูปแบบการเลื่อนหน้า รวมถึงมีฟังก์ชั่น Double-tap to sleep หรือแตะ 2 ทีให้หน้าจอดับมาแล้วครับ

screenshotxper2

ด้าน Contact และการโทรยังคงรูปแบบเหมือนเดิม สามารถ Sync  รายชื่อจากบัญชี Gmail ของเราลงมาได้ สามารถเพิ่มชื่อ หรือมาร์ค Favorites คนที่โทรหาบ่อยหรือจะตั้งกลุ่มรายชื่อ ส่วนคีย์บอร์ดในเครื่องจะ ไม่ใช่ Xperia Keyboard อีกต่อไป โดยจะมาพร้อมกับ Swiftkey โดยหน้าตาจะคล้ายกับ Xperia Keyboard แต่จะมีลูกเล่นมากกว่าเช่นปรับขนาดคีย์บอร์ดได้, แถบเดาคำ และจะเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆจากที่เราพิมพ์และคอยแก้ไขให้ถูกต้องตลอด, สามารถ Cut หรือ Copy คำที่เราใช้งานบ่อยๆปักหมุดไว้ได้ด้วย สะดวกไม่ต้องคอยพิมพ์ซ้ำ และสุดท้ายมันมีธีมให้เลือกมากมายครับ 😀 ส่วนแอปนาฬิกายังคงรูปแบบคล้ายเดิม ส่วนปฏิทินเพิ่มลายกราฟิกสวยๆและไฮไลวันสำคัญและนัดในแต่ละเดือน ดูสวยงามกว่าเดิม

screenshotxper6

Music การใช้งานต่างๆยังคล้ายเดิม สามารถเลือนนิ้วจากมุมซ้ายเพื่อเข้าสู่เมนูต่างๆไม่ว่าจะเป็น Play queue, Albums, Song, Playlist หรือ Setting โดยสามารถเลือกดาวน์โหลดข้อมูลเพลงผ่าน Download Music info ได้ ในส่วนของ Audio Settings จะเป็นการเลือกเปิดฟังก์ชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น DSEE HX, ClearAudio+, Dynamic normaliser, S-Force Front Surround ในส่วนของ Sound Effect สามารถเลือกตั้งค่า Equalizer หรือเลือกระบบเสียงต่างๆของหูฟังได้ ในส่วนของ Accessory จะเป็นตัวเลือกของอุปกรณ์เสริมต่างๆเช่น Noise cancelling, LDAC, Mic sensitivity และมีการเพิ่มบริการ Spotify เข้ามาในแอปด้วย

screenshotxper3

แอป Album ยังคล้ายเดิมอยู่ โดยสามารถเลือกดูภาพโดยรวมหรือแยกดูแต่ละโฟลเดอร์ก็ได้ ส่วน Video สามารถตั้งค่าให้เล่นแบบ Background playback และเปิด Subtitle ได้ และได้เพิ่ม Home Network เข้ามาในแอปเลย

screenshotxper4

Setting ถูกปรับให้หลายๆเมนูที่เคยอยู่ในหมวดต่างๆออกมาอยู่ด้านหน้าเลย เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง และเพิ่มกราฟฟิกสวยๆขึ้นมาในแต่ละเมนูเพื่อสื่อให้เราเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น เช่นการเลือกโหมดแสดงผลของหน้าจอที่จะมีรูปและคลิปเปรียบเทียบให้ดูกันไปเลยว่า X-Reality for mobile หรือ Super-vivid mode ระหว่างเปิดกับปิดให้ภาพต่างกันยังไง และมันกลับมาพร้อมกับ STAMINA mode เรียบร้อยแล้ว โดยมีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ Smart cleaner ที่จะเพิ่มความฉลาดในการจัดการแรม โดยจะช่วยปิดโปรแกรมต่างๆที่เราไม่ได้ใช้นานๆ และกำจัดไฟล์ขยะและแคชต่างๆ

screenshotxper6

การปลดล็อคสามารถตั้งได้ทั้งแบบ Swipe, Pattern, PIN หรือจะเป็นการสแกนลายนิ้วมือที่ถูกเพิ่มเข้ามาก็ทำได้ โดยถ้าเราสแกนพลาด 5 ครั้งจะเข้าสู่หน้า PIN ให้เราใส่รหัสที่เรากรอกไว้ตอนเปิดโหมดสแกนนิ้วครั้งแรก โดยสามารถบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายด้วยกัน ส่วนฟีเจอร์ Smart Lock จะช่วยให้อุปกรณ์ของคุณสามารถถูกล็อคได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

IMG_1096a

lineoverallxpb

โดยรวมตอนแรกผมรู้สึกเฉยๆกับการเปิดตัวของ Xperia X เพราะโดยรวมผมคิดว่ายังไม่ค่อยต่างจาก Xperia Z5 เท่าไร แต่พอลองใช้งานกลับพบหลายๆจุดที่ชอบมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแสงจอที่สว่างและสู้แดดดีมากขึ้น(แต่ถ้าปรับแสงสุดผมคิดว่าทั้ง 2 รุ่นสว่างพอๆกัน) และตอบสนองเร็ว แต่อาจจะเกิดปัญหาติดถ้าเปิด Double to wake เองเวลาใส่ในกางเกง การสแกนนิ้วมือที่เร็วและแม่นยำขึ้นมาก สามารถวางนิ้วในแนวที่เราไม่ได้สแกนก็ได้ ตัวเครื่องที่มีขนาดหนาขึ้น แต่ด้วยการออกแบบให้เครื่องมีความมนกว่าเดิม ทำให้ผมรู้สึกว่ามันถือกระชับมือมากกว่า Xperia Z5 อีก วัสดุฝาหลังอลูมิเนียมขัดเงาสวยและดูแปลกตาดี ด้านความร้อนก็ไม่ค่อยรู้สึกร้อนมากเวลาเล่นเกมนานๆ

สำหรับการกันน้ำผมถือว่าทำได้ดีอยู่พอร์ตปิดมีความแน่นหนา ผมลองเอาลงเล่นน้ำก็พอว่าตัวลำโพงสามารถสะบัดน้ำแล้วเปิดเพลงฟังได้ ต่างจาก Xperia Z5 ที่ต้องรอซักพักเสียงถึงจะกลับมาเหมือนเดิม

กล้องถ่ายรูป โดยรวมภาพที่ได้ยังไม่ต่างจาก Xperia Z5 มาก(เพราะใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกัน) แต่โหมด Quick Shot ทำให้สามารถหยิบขึ้นมาถ่ายภาพได้สะดวกขึ้นและผมชอบ Predictive Hybrid AutoFocus แม้ตอนนี้อาจจะไม่ได้ตาม track วัตถุแม่นยำและเร็วพอ แต่มันทำให้ผมสามารถถ่ายภาพวัตถุนึงแล้วเดินแพนกล้องถ่ายมุมต่างๆได้อย่างสะดวกไม่ต้องคอยแตะโฟกัสใหม่ รวมถึงสปีดชัตเตอร์ที่เร็วขึ้นจนแทบไม่ต้องเสียเวลาเซฟภาพแล้วเมื่อรวมกับโฟกัสแบบใหม่ทำให้สามารถถ่ายวัตถุเร็วๆได้โดยแทบไม่มีความเบลอ กล้องหน้าที่ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม

แบตเตอรี่ที่ผมว่าใช้งานได้พอๆกับ Xperia Z5 แต่เวลาเล่นพวกโซเชียลหรือฟังเพลงผมรู้สึกว่า Xperia X Performance มีอัตราการลดของแบตเตอรี่น้อยกว่า ซึ่งอาจจะเป็นผลพวงจาก Snapdragon 820

โดยรวมผมคิดว่าโอเคกับ Xperia X Performance เพียงแต่หลายๆอย่างยังไม่ค่อยแตกต่างจาก Xperia Z5 มาก ถ้าเพิ่งซื้อ Z5 มา Xperia X Performance อาจจะยังไม่ดึงดูด แต่สำหรับใครที่ยังใช้ Z3 หรือต่ำลงไปผมว่าซี่รี่ย์ X ก็น่าสนใจไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นกล้องที่มีความเร็วในการถ่ายมากขึ้น ระบบเสียง สแกนนิ้ว และหลายๆอย่างที่เพิ่มขึ้นมาผมว่าคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนอยู่ครับ

ส่วนเรื่องราคาที่หลายคนบอกว่าแพงไปถ้าเทียบกับแบร์นอื่นที่สเปคพอกันและแน่นอนเรื่องกล้องตอนนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้กับ Huawei P9 ซึ่งตรงนี้ผมคงฟันธงไม่ได้ว่าตัวไหนคุ้มกว่า ลองอ่านรีวิวแล้วดูสิ่งที่ชอบดีกว่าครับ 🙂 และปัจจุบันโซนี่ไทยเริ่มลุยตลาดจัดโปรคู่กับโอเปอเรเตอร์ต่างๆทำให้สามารถหาซื้อเครื่องได้ถูกลง สำหรับใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องเครื่องติดสัญญาแล้วลองศึกษาโปรต่างๆก่อนซื้อก็ดีครับ

seuppromoxper

เคส Xperia X Performance

เคส Xperia X

เคส Xperia XA

IMG_5442 IMG_5443IMG_0976 IMG_1043 IMG_1050 IMG_1090 IMG_5403

 

 

ขอบคุณที่ร่วมแสดงความรู้สึกของคุณต่อบทความนี้ อย่าลืมที่จะแชร์ให้คนอืนได้รู้ความรู้สึกนี้ .
บอกให้เรารู้ถึงความรู้สึกหลังจากที่คุณได้อ่านบทความนี้
  • ประทับใจสุดๆ
  • ดีจังเลย
  • โกรธสุดๆ
  • เฉยๆ อ่ะ
  • รู้สึกหดหู่